
จี๊ดจ๊าด ขอมาเล่าค่ะ บุญจากการเททองหล่อพระ มีอานิสงส์มากจริงได้พบเห็นกันในชาตินี้เลยค่ะ ที่ดิฉันกล้าพูดเช่นนี้เพราะอะไรก็เพราะจากประสบการณ์ตรงของดิฉันเองค่ะ ที่ดิฉันอยากนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อบุญที่ยิ่งใหญ่ค่ะ เมื่อหลายปีก่อนดิฉันตั้งแต่ดิฉันได้มาพบเจอ อ.เจนและคุณรุ้ง ครั้งแรก ๆ ช่วงนั้น อ.เจน และคุณรุ้ง ได้ชักชวนดิฉันไปเททองหล่อพระครั้งนั้นดิฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าจริงเหรอแค่เททองหล่อพระเนี้ยนะ เป็นบุญใหญ่แต่ะอ.เจน และคุณรุ้ง ก็ช่วยกันอธิบายว่า พี่อานิสงส์สูงมากเพราะพระที่เราไปร่วมหล่อจนสำเร็จ นี้จะยั่งยืนสืบทอดไปตราบจนลูกหลานเหลนโหลนในภายภาคหน้าโดยจะมีผู้คนมากราบไหว้พระพุทธรูป นั้นด้วยการสวดมนต์ เจริญภาวนาและประกอบพิธีทางศาสนา นั้นก็หมายความว่า ทุกครั้งที่ผู้คนได้เข้า มากราบสักการะบูชาพระพุทธรูปที่เราได้ร่วมหล่อกันนี้มีอานิสงส์มากจริงๆ ซึ่งอานิสงส์ที่ท่านได้อ่านไปแล้ว เบื้องต้นนั้นแหละค่ะ ดีอย่างไรจะเล่าให้ฟังค่ะ ดิฉันได้ไปร่วมหล่อพระกับอาจารย์ทั้งสองประมาณ 2 – 3 ครั้งเห็นจะได้ที่ว่าเป็นอาจารย์ทั้งสองก็เพราะว่า คุณรุ้งเป็นพี่สาวอาจารย์เจนก็จริงแต่มีภูมิธรรมสูงมากเพราะเป็นคู่บุญร่วมกันมาหลายชาติจากที่ดิฉันได้ติดตาม อาจารย์มาตลอดจึงได้รู้เรื่องนี้ดี ซึ่งดิฉันยังจำได้แม่นยำแม้นว่าเหตุการณ์นั้นนานมาแล้วก็ตามว่าอาจารย์ได้ ชักชวนไปเททองหล่อพระครั้งแรก เป็นพิธีเททองหล่อ หลวงปู่ชีวกโกมารภัจจ์ หมอประจำตัวพระพุทธเจ้า ในพุทธกาล จำได้ว่าในวันนั้นทำพิธีใหญ่คนเป็นร้อยเป็นพัน มีพระเกจินั่งปรก 4ทิศ และมีพราหมณ์ทำพิธี บวงสรวงต่าง ๆดิฉันก็ได้แต่ยืนดูค่ะ และขณะที่ทำพิธีอยู่นั้น หากคนที่รู้จักสังเกตก็จะพบว่าท้องฟ้าที่สว่าง ด้วยแสงแดดที่แผดเผาก็กลับมีท้องฟ้าที่ร่มและเย็น มีลมอวลไปหมดทันใดนั้น อ.เจน ก็กระซิบกับดิฉันว่า หลวงปู่ชีวก ท่านมาร่วมพิธีด้วยค่ะซึ่งดิฉันก็ดีใจในเบื้องต้นแล้ว ต่อมาก็มานั่งที่เก้าอี้ที่เขาเตรียมไว้รับรองผู้มาร่วมงานเมื่อนั่งลงแล้ว อ.เจน และคุณรุ้ง ก็แนะนำให้ดิฉันกำหนดจิต ว่าจะต้องทำอย่างไรที่ถูกต้อง เพื่อปลดปล่อยให้กับเจ้ากรรมนายเวรของดิฉันค่ะ เพื่อให้เราได้อานิสงส์ของ บุญเททองหล่อพระอย่างเต็มเปี่ยมค่ะดิฉันก็ทำตามนั้นทุกประการ ระหว่างนั้น อ.เจน ก็หันมาพูดว่า ช่วงที่กำหนดจิตอยู่ที่การเททองหล่อหลวงปู่ชีวกอยู่นั้น รู้สึกว่าตนเองตัวลอยขึ้นไป แต่ดิฉันกับคุณรุ้ง หันมามองหน้ากันและตอบพร้อมๆกันว่าก็ไม่นี่ค่ะ เพราะว่าเราไม่มีญาณไงค่ะ คุณรุ้ง ยังมีความรู้สึกสัมผัสทาง ผิวกายได้แต่ดิฉันไม่มีเลยแม้สักนิดค่ะ แต่มีความรู้สึกปิติสุขมาก รู้ได้อย่างไรว่าดิฉันได้รับการปลดปล่อยจากกรรมให้เบาบางลงได้บ้างและมีอานิสงส์บุญอะไรทำชีวิตของเราเปลี่ยน ก็คือว่า ดิฉันได้เคยเล่าสู่กันฟังมานานมากแล้วว่าแต่ขอเล่าอีกครั้งเพราะบางคนก็อาจจะไม่ทราบ เรื่องของดิฉัน ก็คือว่าดิฉันปวดเบ้าตา ประมาณ 20 กว่าปี พบแพทย์ตรวจสายตาไปรักษาถึง 2 โรงพยาบาล แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ จึงปล่อยให้ปวด ๆไปตามนั้น เพราะไม่ได้มีอาการปวดทุกวัน ประมาณ 20 กว่าปี แต่เมื่อพบกับ อ.เจนจึงได้รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรของดิฉันเป็นปู จากอดีตชาติ ชาติที่ 1 ที่เป็นลูกชาวเล ได้นำเอาปู ไปดองใส่ขวด เพื่อนำไปขาย(แบบที่บางแสนนั้นแหละค่ะ) ทำการดองทั้ง ๆที่มันยังไม่ตาย ยังเป็นๆ อยู่นั้น ซึ่งปูเหล่านั้นก็เจ็บปวดทรมานตามาก สังเกตสิค่ะ ปู มันจะมีลูกตาออกมานอกเบ้านอกกระดองของมันค่ะ มันจึงทรมานจนตายและสาปแช่งเป็นเจ้ากรรมนายเวรติดตามมาถึงชาติที่ 2 เกิดมาเป็นชายแต่ต้อง ประสบอุบัติเหตุทำให้พิการตาบอด เมื่อเห็นทุกข์จึงเห็นธรรมทำแต่ความดีครั้นตายไปขอให้เกิดใหม่ เป็นคนที่มีอาการครบ 32ประการอย่าได้พิกลพิการเลย ด้วยแรงอธิษฐาน ชาติที่ 3 เกิดรูปใหม่นามใหม่เป็น หญิงแต่เมื่อถึงเวลาที่เขามาทวงคืนก็ประมาณอายุ 25 ปี เห็นจะได้ อ.เจน บอกนี่คือเศษกรรมค่ะจึง ทำให้แค่ปวดเบ้าตา อาการที่เจ็บปวดนี้เหมือนมีคนเอามือมาขยี้ลูกตาหรือขยี้บีบเค้นตาของเราค่ะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ค่ะ ความเชื่อที่ว่าบุญจากการเททองหล่อพระ ก็คือว่า หลังจากนั้นประมาณ 3เดือน ดิฉันหายอาการปวดตา อย่างน่าประหลาดใจมากค่ะ อ.เจน อธิบายว่าการที่เราตั้งใจในบุญที่เราทำอานิสงส์บุญก็จะมาก ไปตาม ความตั้งใจเจ้ากรรมนายเวรเขาเป็นสรรพสัตว์ เขาไม่อาฆาตเราเท่าไหร่เขาเพียงแต่อยากไปเกิดแล้ว ดิฉันได้ปลดปล่อยแล้วจากบุญที่ทำค่ะ อ.เจน บอกว่าเหล่าสรรพสัตว์ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร ก็จะละจากเราไปเป็นกระบิ ๆ เขาจะอโหสิกรรมให้เราค่ะ และหลังจากนั้นดิฉันก็ได้ไปเททองหล่อพระ กับอาจารย์อีกแต่จำไม่ได้ว่าที่ใดบ้างจำแต่ครั้งแรกที่เป็นความประทับใจ ด้วยมีเหตุที่เหลือเชื่อเกิดกับดิฉันค่ะ เรื่องเหลือเชื่อที่เกิดกับดิฉันอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือว่าในช่วงเวลาอันใกล้กันนี้ดิฉันได้รับที่ดินจากลุงของดิฉัน อย่างที่เหลื่อเชื่อเป็นที่สุด ก็คือว่ามีคนขายที่ดินอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านแม่ของดิฉัน ซึ่งดิฉันต้องการซื้อเอาไว้เสียเอง โดยมีแผนการซื้อเป็นการผ่อนชำระกับธนาคารเป็นรายเดือนแต่เมื่อถึงวันที่กำหนดโอนซื้อที่ดินกันนั้น อยู่ ๆลุงของดิฉันก็ไปเบิกเงินของลุงมามอบให้ดิฉันไปจ่ายค่าซื้อที่ดินเป็นเงินสด ในวันนั้น ดิฉันกลับบ้านมายังนึกว่าฝันไป จึงเป็นความตราตรึงอยู่ในใจของดิฉัน ซึ่ง อ.เจน พูดกับดิฉันว่า พี่ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพราะพี่ทำของพี่มาค่ะ นั้นคือเรื่องเล่าที่ผ่านมาแล้วที่เกี่ยวกับอานิสงส์บุญจากการเททองหล่อพระแต่ก็อยากเล่าเรื่องที่เพิ่ม เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม 2557นี่ดีกว่าค่ะมีครอบครัวที่น่ารักครอบครัวหนึ่งที่ต้อง ขอสงวนสิทธิ์ชื่อของทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ยกเว้น อ.เจน คุณรุ้ง และดิฉัน ค่ะเรื่องมีอยู่ว่า ครอบครัวนี้ได้มาเชิญชวน อ.เจน และ คุณรุ้ง ไปงานทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่จะไปร่วมทำบุญเลี้ยงพระ นี้เป็นอาริยะที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านชื่อว่า หลวงปู่บุญหนา เห็นมั้ยค่ะบุญของท่านยังหนาค่ะ นี่คือประวันของท่านค่ะ เป็นดังนี้ เมืองสกลนคร ซึ่งถือได้ว่าเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นสุดท้ายที่ยังดำรงอยู่ ณวัดป่าโสตถิผล บ้านหนองโดก ต.ช้างมิ่ง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เมื่ออายุ 12 ปี ได้เข้าพิธีบรรพชา ณ วัดแจ้ง บ้านหนองโดก ต.ช้างมิ่ง อ.พรรณานิคม จ.สกลนครซึ่งเป็นวัดบ้านเกิดของท่านเอง หลวงปู่บุญหนา ท่านได้ปฏิบัติอุปัฏฐากรับใช้ครูบาอาจารย์นานถึง 12 ปี ตั้งแต่ครั้งสมัยเป็นสามเณร เช่น หลวงปู่ฝั้น อาจาโรซึ่งเป็นหลวงอาได้นำท่านมาอยู่ด้วย และโดยเฉพาะกับพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริศิษย์สายธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ในช่วงที่เป็นสามเณรอยู่กับพระอาจารย์อ่อนเคยไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือ(วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) บ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เป็นประจำโดยมีพระอาจารย์อ่อนนำพาไป สาเหตุที่ได้ปฏิบัติอุปัฏฐากรับใช้พระอาจารย์อ่อนด้วย พระอาจารย์อ่อนเดินธุดงค์มาพำนักหาความสงบวิเวกอยู่ที่บริเวณป่าช้าบ้านหนองโดก (ปัจจุบันคือวัดป่าโสตถิผล หรือวัดป่าบ้านหนองโดก)ตอนนั้นได้บรรพชาเป็นสามเณร แต่เป็นฝ่ายมหานิกาย พักอยู่วัดแจ้ง บ้านหนองโดกเป็นวัดบ้านของท่านเอง และไม่ไกลจากป่าช้า ที่พระอาจารย์อ่อนไปพักอยู่นั้นมากนัก หลวงปู่บุญหนาท่านบอกว่า ตอนที่ไปกราบนมัสการพระอาจารย์มั่นณ วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) ครั้งแรกไปกับพระอาจารย์อ่อนพร้อมกับสามเณรอีกรูปหนึ่งและญาติโยม 4-5 คน เดินมุ่งหน้าสู่เทือกเขาภูพานที่อยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้านหนองโดก ก่อนเดินทางถึงวัดป่าบ้าน หนองผือเวลาประมาณบ่าย 3 โมง พอเข้าไปภายในบริเวณวัดรู้สึกว่าภายในวัดร่มรื่นสงบเงียบ เหมือนกับไม่มีพระเณรทำให้ตื่นตาตื่นใจเป็นครั้งแรกเห็นพระเณรกำลังทำกิจวัตรกวาดลานวัดด้วยไม้ตาด ส่วนพระอาจารย์อ่อน พร้อมคณะเข้าไปกราบนมัสการพระอาจารย์มั่นบนกุฏิ เสร็จแล้วก็กลับที่พัก ปัดกวาดลานวัดตักน้ำใช้น้ำฉันจากบ่อน้ำ เสร็จจากนั้นก็เตรียมรอสรงน้ำพระอาจารย์มั่นบริเวณหน้า กุฏิซึ่งมีพระเตรียมน้ำสรงไว้โดยใช้น้ำร้อนผสมพอให้อุ่นเมื่อพระอาจารย์มั่นเข้ามานั่งบนตั่งแล้ว คราวนี้พระเณรทั้งหลายห้อมล้อมเพื่อเข้าไปถูหลังขัดไคลถวายอย่างเปี่ยมล้นด้วยศรัทธา ส่วนสามเณรบุญหนามีโอกาสเข้าไปร่วมสรงน้ำท่านพระอาจารย์มั่นในครั้งนี้ด้วย
หลวงตาบุญหนา ธัมมทินโน วัดป่าโสตถิผล จ.สกลนคร เมื่อพระอาจารย์มั่นเห็นท่านซึ่งเป็นสามเณรมาใหม่พระอาจารย์มั่นจึงพูดสำเนียงอีสานขึ้นว่า "เณรมาแต่ไส..." แต่สามเณรบุญหนาไม่ทันตอบ มีพระอาจารย์ทองคำตอบแทนว่า "เณรมากับครูบาอ่อนข้าน้อย" จากนั้นท่านไม่ได้ว่าอะไรต่อไป จนเสร็จจากการสรงน้ำท่านในวันนั้น นอกจากนี้ ท่านยังได้ปฏิบัติอุปัฏฐาก รับใช้ครูบาอาจารย์อื่นๆ อีก เช่นพระอาจารย์ชอบ ฐานสโม พระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม พระอาจารย์ลี ธัมมธโร พระอาจารย์แหวนสุจิณโณ พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร และพระอาจารย์จาม มหาปุญโญ เป็นต้น หลวงตาบุญหนาได้มาพำนักจำพรรษาอยู่ ณ วัดป่าโสตถิผล บ้านหนองโดก ต.ช้างมิ่ง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ตราบจนกระทั่งถึงปัจจุบันนับได้ว่าท่านเป็นพระอริยสงฆ์ที่ควรค่าแก่การกราบไหว้ได้ อย่างสนิทใจอีกรูปหนึ่งที่ยังเหลืออยู่ หลวงปู่บุญหนาได้ให้สติแก่ญาติโยมผู้เดินทางมากราบนมัสการ เสมอว่า ให้เป็นผู้มีสติ ระลึกรู้ในกายสติระลึกรู้ในวาจาคำพูด สติระลึกรู้ในใจ เมื่อสติรู้ซักซ้อมอยู่ภายในกาย วาจาและใจแล้ว ทำ พูด คิด ถูกและผิด ก็ระลึกรู้อยู่ ปรับปรุงอยู่อย่างนี้เสมอซึ่งเป็นคำสอนของ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ ที่ได้เล่าเรื่องของท่านพระอาจารย์เสาร์กนฺตสีโล เทศน์แสดงธรรมสั้นๆ ในช่วงที่เคยเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่นครั้งนั้นว่า "กายสุจริตวจีสุจริต มโนสุจริต กายบริสุทธิ์ วาจาบริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์" ดิฉันตื่นเต้นมากค่ะ วันนั้นตื่นแต่ไก่ไม่โห่ ตื่นก่อนไก่เพราะวันนี้จะได้ไปทำบุญกับพระอริยะที่ พบหาได้ยากและเข้าพบยากด้วยค่ะ นับว่าเป็นบุญของดิฉันมากค่ะดิฉันก็ต้องขอขอบคุณครอบครัวน่ารัก และท่านผู้ใหญ่เจ้าของบ้านด้วยการขออนุโมทนาบุญมาณ ที่นี่ด้วยค่ะ ที่บ้านผู้ใหญ่ท่านนี้ช่าง ร่มเย็นด้วยบรรยากาศที่สงบเงียบท่านใจบุญมากท่านสร้างที่พักเพื่อให้หลวงปู่ท่านได้มาพัก รักษาตัวกับนายแพทย์ของโรงพยาบาลในกรุงเทพฯค่ะ อาหารคาวหวานจัดอย่างดี อ.เจน คุณรุ้ง และดิฉัน มีบุญจริง ๆค่ะที่ได้รับประทานข้าวก้นบาตรของหลวงปู่บุญหนา ค่ะ หลังจากหลวงปู่ท่านฉันท์ภัตตาหารเสร็จแล้วครอบครัวน่ารักก็ได้บอกให้ไปกราบหลวงปู่กัน ดิฉันคลานเข้าไปด้วยอาการสงบมากค่ะท่านอารมณ์ดีเป็นกันเองท่านก็ถามสารทุกข์สุขดิบว่า เป็นใครมาจากไหนและท่านก็จ้องมองมาที่ อ.เจน ที่คลานเข้ามาที่หลัง ท่านพูดเอ่ยขึ้นว่า “หูทิพย์ ตาทิพย์ มาแล้วเน้อ ” ทุกท่านค่ะ ตอนนั้น ดิฉันมองหลวงปู่ท่าน แล้วก็หันมามองอ.เจน ดิฉันอึ้ง และอึ้ง ค่ะ อึ้งหลายตลบ เฮ้ยท่านรู้ด้วย ต่อจากนั้นท่านผู้ใหญ่ก็คลานเข้ามาอีกคนและ นั่งอยู่หลังพวกเราที่เป็นแขกของบ้านเสียอีก ตำแหน่งที่นั่งตอนนั้น ดิฉันสุดแสนจะ งง กับสถานการณ์นั้นมากค่ะเพราะเจ้าของบ้านก็คือท่านผู้ใหญ่ ท่านนั่งอยู่เสียหลังสุดห้องค่ะ ในห้องนั้นก็มีครอบครัวน่ารักนั่งซ้ายสุดกับลูกๆ ทั้ง 3 ตรงหน้าของหลวงปู่ ก็มี คุณรุ้ง ดิฉัน และ อ.เจน เราทั้ง 3 คนอยู่ตรงหน้าท่านของท่านพอดีใกล้ชิดมากค่ะ แต่ท่านผู้ใหญ่ท่านนั่งถัดอยู่หลังเราอีกทีค่ะ อ.เจน และคุณรุ้ง มีความประสงค์จะนิมนต์ท่านไปเป็นประธานเททองหล่อพระที่สำนักปฏิบัติธรรม ณ ที่ดินที่หาซื้อได้แล้วในวันที่ 22มิถุนายน 2557 ที่จะถึงนี้ เพราะท่านเป็นพระอริยะที่มีเมตตาสูง แต่ อ.เจน ก็รู้อยู่ในจิตแล้วว่าท่านป่วยไม่สามารถไปงานเททองหล่อพระได้ จึงไม่กล้าที่จะนิมนต์ท่านค่ะ แต่เนื่องจากในวันนั้น เหล่าเทวดานางฟ้าและเทวดาประจำตัวของพวกเราท่านก็ดีใจไปอนุโมทนา บุญกับเราที่ไปทำบุญกับพระอริยะ ในวันนั้น แม้แต่ อ.เจน ยังหันมาพูดกับดิฉันว่า พี่ พี่เทวดาประจำตัวของพี่อยู่บนหัวพี่นะค่ะ ท่านมาอนุโมทนาบุญกับพี่ท่านดีใจของหนูก็มาค่ะ เมื่อเป็นเช่นนั้น อ.เจน ยังคงลังเลอยู่เพราะเกรงใจหลวงปู่ท่านค่ะระหว่างนั้น เทวดาประจำตัว อ.เจน ก็บอกให้ อ.เจน พูดนิมนต์หลวงปู่ท่าน แม้ว่าท่านจะมาไม่ได้แต่จะมีสิ่งที่เป็นตัวแทน ของท่านไปแทนเมื่อเป็นเช่นนั้น อ.เจน ก็พูดขึ้นมาว่า หนูจะนิมนต์หลวงปู่ไปร่วมงานบุญเท องหล่อพระโดยบอกสถานที่ และจังหวัด ให้ท่านรับทราบ หลวงปู่ท่านจึงพูดว่า ทำดีแล้ว ทำไป เป็นสิ่งที่ดี ซึ่งจริงอย่างที่ท่านเทวดาท่านบอก หลวงปู่พูดว่า หลวงปู่มาหาหมอและ เจ็บป่วยต้องมากรุงเทพฯเพื่อรักษาตัว แต่ถ้ามีแผ่นทองที่จะนำมาเป็นแผ่นนำฤกษ์เพื่อเป็น เชื้อนำมาเททองก็ให้เอามา ในตอนนั้น ดิฉันเสียดายอย่างสุดกำลังเพราะคิดว่าจะไป หาแผ่นทองที่ไหนดีล่ะ คิดว่าจะไปหาซื้อแผ่นทองได้ที่ไหน ตอนนี้ทันมั้ยน้า...กังวลใจแทบ จะไปหาซื้อแต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาซื้อที่ไหนค่ะ แต่ทันใดนั้น ท่านผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านหลังท่านก็เสนอขึ้นมาว่าหลวงปู่เจ้า ข้าพเจ้ามีแผ่นทองอยู่หลายแผ่น มีเป็นตั้ง เพราะเตรียมไว้เพื่อจะนำแผ่นทองที่เตรียมไว้นี้ไปงานเททองหล่อพระในวันพรุ่งนี้แล้ว ผู้ใหญ่ท่านนั้นก็นำแผ่นทองมาให้ค่ะ อุ๋ย ตอนนั้น ดิฉันดีใจจนเนื้อเต้นหันไปอนุโมทนาบุญกับท่าน เสียหลายครั้ง อ.เจน กับคุณรุ้ง ก็เช่นกันต่างก็หันไปอนุโมทนาบุญกับท่านเช่นกัน เมื่อท่านนำแผ่นทองมาส่งให้กับหลวงปู่ตั้งเบ้อเริ้มเชียวค่ะ หลวงปู่ท่านบอกว่า “ สมปรารถนานะ คิดเงินก็ได้เงินคิดทองก็ได้ทอง คิดถึงเงิน เงินก็มา คิดถึงทอง ทองก็มา ”ท่านพูดย้ำอยู่อย่างนี้ค่ะหลายรอบ เหมือนเป็นปริศนาอย่างไรบอกไม่ถูกค่ะ แผ่นทองห่อใหญ่ที่ผู้ใหญ่ท่านนี้นำมาให้นี้ ภายในห่อนั้นมีแผ่นทองเป็นปึกตั้งใหญ่ มีทั้ง แผ่นใหญ่และ แผ่นเล็ก แต่หลวงปู่ ท่านเลือกขึ้นมาเพียง2 แผ่น โดยบอกว่า เลือกแผ่นทอง แค่ 2 แผ่น แผ่นใหญ่ กับแผ่นเล็ก มากน้อยไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่แผ่นทอง ที่เลือกมานี้จะใช้นำฤกษ์นำไปเป็นเชื้อเพียงเท่านี้เพียงพอแล้ว หลวงปู่บุญหนา ท่านมีเมตตามากค่ะ ขนาดว่าท่านอายุมากและอาพาธด้วยนะค่ะ ท่านพูดขึ้นมาว่า แผ่นทองนี้ต้องเขียนด้วยปากกาที่ไม่มีหมึก ต้องเป็นปากกาที่หมึกหมดแล้ว ถึงจะเขียนออกมาสวย ระหว่างนั้นทุกคนก็ไม่รู้ว่าจะไปหาได้ที่ไหนคิดไม่ออกค่ะมัวแต่ดีใจ ที่ท่านจะเขียนยันต์ให้ ต่างก็มองหน้ากันไปมา ดิฉันก็คิดว่า อ้าวทำไงดีจะไปหาที่ไหนดีล่ะ แล้วอยู่ ๆ ท่านก็ลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงแล้วบอกว่า อ้อ มีพอดีมีปากกาหมึกหมดอยู่ใน ห้องท่านยิ้มแล้วท่านก็เดินเข้าไปในห้องของท่าน แล้วท่านก็เดินกลับออกมาด้วยรอยยิ้ม แต่ก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า ต้องหาสมุดแข็ง ๆ สักเล่มให้ท่านวางเขียนจะได้เขียนออกมาดี หลวงปู่ท่านจะได้เขียนอย่างสะดวก ๆ ดิฉันก็เหลือบไปเห็นตู้เก็บหนังสือก็กำลังจะ ลุกขึ้นไปหยิบแล้ว ดิฉันยังไม่ทันจะลุกไปหยิบให้ท่านเลย ท่านก็ลุกขึ้นเดินไปเลือกหยิบ หนังสือที่ตู้หนังสือนั้นเสียเองแล้วท่านก็เดินกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ได้ของที่ถูกใจของ ท่านแล้วประมาณนั้น ค่ะ หลวงปู่ท่านลงยันต์ และท่องคาถา อะไรบางอย่าง ประมาณ 5-10 นาทีนานมากค่ะท่านบรรจง จรดปากกาและวาดยันต์อย่างตั้งใจ ในตอนนั้นทุกคนตั้งใจอยู่ในอาการสงบ เงียบไม่ไหวติง และขนลุก และปิติ และอะไรต่อมิอะไร ที่บรรยายไม่ถูก ว่านี่พระอริยะท่านมีเมตตาสูงกับ อ.เจน และ คุณรุ้ง ถึงเพียงนี้คงเป็นบารมีของอาจารย์อย่างแน่แท้แล้วค่ะและสำนักปฏิบัติธรรม วิปัสสนาญาณของอาจารย์ต้องพัฒนาเจริญยิ่ง ๆขึ้นไปอย่างแน่นอนค่ะ เมื่อเรียบร้อยแล้วหลวงปู่ท่านก็ได้มอบให้อ.เจน กลับมาค่ะ ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญจริง ๆ ค่ะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ค่ะจากเรื่อง ที่ดิฉันเล่ามาให้ทราบนี้ก็เพื่อให้ทุกท่านเชื่อในเรื่องของบุญว่ามีจริงและต้องขอกระซิบบอกว่า การไปเททองหล่อพระในวันที่ 22 มิถุนายน 2557นี้เรารับเพียงจำนวนจำกัด 800 คนเท่านั้น เป็นนำฤกษ์ที่ดีแล้วค่ะ ที่ได้พบพระอริยะ ก่อนการเททองหล่อพระแต่ทั้งนี้ อ.เจน และคุณรุ้ง ก็จะไปนิมนต์พระเกจิมาร่วมงานด้วยค่ะ จบ. |