แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Wwwarjanjencom เมื่อ 2013-8-15 15:15
กิจกรรมการทอดผ้าป่า เพื่อสร้างห้องน้ำและลานตากผ้าให้กับ สถานปฏิบัติธรรม "วัดวิมุตยาราม" ณ หุบกะพง จ.เพชรบุรีระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ถึง 1 มกราคม 2556 เวลา 13.00 น. พระครูวิมุตติธรรมาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดวิมุตยาราม กล่าวโอวาทเปิดงาน ซึ่งท่านได้เล่าประวัติความเป็นมาของสถานที่ปฏิบัติธรรมหุบกะพง ซึ่งเรื่องนี้ อ.เจน ได้ลงเว็ป....ชื่อ “ด่วน!! ยังเปิดรับบริจาคปัจจัยสร้างห้องน้ำและลานตากผ้าสถานปฏิบัติธรรมหุบกะพง” ดิฉันขอย่นย่อนำมาให้ท่านอ่านอีกครั้ง เพื่อท่านที่ยังไม่ได้อ่านจะได้รับทราบเรื่องมีอยู่ว่า "แรกเริ่มเดิมที สถานที่แห่งนี้เป็นป่ารกร้าง และห่างไกลชาวบ้าน จะมีก็แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่อาศัยมาช้านานนับหลายสิบปี ต่อมา ได้มีการตัดถนนเส้นเล็กๆ ลาดถมถนนด้วยดินลูกรังสีแดง จนเมื่อราวๆ พศ.2527 ถนนสายเล็กๆ ในหมู่บ้านเส้นนี้ ก็ได้เปิดเป็นทางสะดวก ชาวบ้านบริเวณนั้นไปมาหาสู่กันได้ง่ายขึ้น"
ประวัติความเป็นมา...สำนักปฏิบัติธรรมหุบกะพง ประมาณ 20 ปีที่แล้ว พื้นที่ดินสำนักปฏิบัติธรรมฯ เป็นที่นากว้างใหญ่ โอบล้อมด้วยป่าทึบ และมีหนองน้ำใหญ่ อุดมสมบูรณ์ และเงียบสงบ ก่อนที่จะได้มาสร้างเป็นสถานปฎิบัติธรรมของวัดวิมุตยารามเป็นที่ดินของ คุณตา และ คุณยาย สองสามีภรรยา ทั้งสองท่าน รัก หวงแหน และมีความรู้สึกผูกพันกับที่ดินนี้มาก ต่อมา คุณตาคุณยาย ได้มีหนี้สินจำเป็นต้องชำระ จึงคิดที่จะขายที่ดินบริเวณนี้ โดยคิดว่า "ที่ดินที่นา หรือทรัพย์สินอื่นๆ หากไม่ตายก็คงจะหาใหม่ได้" จึงประกาศขายที่ดินส่วนนี้ มีคนสนใจซื้อหลายราย แม้จะเห็นว่าเส้นทางคมนาคมไม่ค่อยสะดวก ผู้ซื้อรายแรก เป็นชาย โดยมีความต้องการสร้างเป็นรีสอร์ท แต่หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นได้สำรวจพื้นที่ดูโดยรอบแล้ว พักเหนื่อยขณะที่ล้มตัวลงนอนเล่นอยู่ใต้ต้นมะม่วงใหญ่ข้างบึงน้ำ ชั่วครู่ ได้ยินเสียงน้ำกระเพื่อมๆ จึงคิดในใจว่า "ปลาในสระนี้ตัวใหญ่ดีแท้" ขณะที่คิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียง ดังซวบ!ๆ ในหนองน้ำนั้น คราวนี้เสียงดังฟังชัดกว่าเดิม ราวกับมีปลาที่ตัวใหญ่มากกำลังกระโดดพ้นผิวน้ำ ชายผู้นั้นจึงเหลือบตาไปมอง แต่ต้องตกตะลึง เพราะได้เห็น สิ่งมีชีวิตลำตัวยาวๆ คล้ายงูตัวใหญ่ ประมาณลำต้นกล้วย ลำตัวสีดำมะเมื่อม แม้จะเห็นได้ไม่ชัดเท่าไหร่แต่ก็แน่ใจมาก เพราะ สิ่งนั้นกำลังแหวกน้ำอยู่จนน้ำแตกกระเซ็น และะค่อยๆ หยุดการเคลื่อนไหว และเสียงก็เงียบหายไปใต้ผิวน้ำ แต่เมื่อจ้องสังเกตให้ชัดอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่เห็น ก็คือ ที่ส่วนหัวเหมือนงูเห่าตัวใหญ่ ลำตัวมีสีเขียวคล้ำจนเกือบจะดำ ดวงตามีสีแดงวาวราวเกร็ดอัญมณี แต่บริเวณตั้งแต่ปลายจมูก มีลักษณะคล้ายหงอนสีแดงๆ ด้านหลังมีเกร็ดนูนๆ แข็งๆ คล้ายครีบของปลา แต่มองไม่เห็นส่วนอื่น ทันใดนั้น มันก็มุดหายไปยังก้นบึงน้ำ ภาพที่เห็นนั้นชัดจับตามาก จนทำให้เขาตกตะลึงงันไปชั่วครู่ ยืนตัวแข็ง ตกใจเกือบขาดสติ เมื่อหายจากอาการตื่นเต้นตกใจแล้ว ก็วิ่งออกมาจากที่ดินผืนนั้นอย่างเร็วโดยไม่คิดจะกลับมาอีก แต่ก็ได้โทรศัพท์ไปเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับคุณตาคุณยาย แจ้งว่า ไม่ขอซื้อที่ดินผืนนี้แล้ว ผู้ซื้อรายที่สอง เป็นพี่น้องสองสาว ประสงค์จะซื้อที่ไว้เป็นสมบัติของครอบครัว แต่เมื่อได้สำรวจบริเวณที่ดินก็ถูกใจมาก ตกลงนัดวันซื้อ แต่ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่หนองน้ำ สองสาวคิดกันว่า หากซื้อจะถมบึงน้ำนี้ โดยจะนำดินลูกรังมาถมบึง และทำเป็นลานจอดรถสักพักคนน้อง ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังคุยกัน ลองเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเสียงก็จะหายไป แต่หากกำลังเผลอทีไรก็ได้ยินเสียงนั้นขึ้นมาอีก จึงบอกพี่สาวไปว่าแถวนี้คงมีชาวบ้านที่ไหนอาศัยอยู่อีกแน่ๆ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ขณะที่กำลังเดินกันอย่างเพลินเพลิน คราวนี้ทั้งสองพี่น้องก็ได้ยินเสียงคนคุยด้วยกันทั้งคู่ ต่างก็ลองเงี่ยหูฟังเพื่อจับใจความให้ชัดเจนว่าเขาคุยอะไรกัน จนเวลาล่วงเลยไปมีคนสนใจซื้อแต่ก็เจอแต่เรื่องแปลกๆ ที่แตกต่างกันไป ดังนั้น คุณตากับคุณยาย หารือกันว่า หากขายที่ดินนี้ไม่ได้จะยกให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ให้กับวัดเพื่อจะได้สร้างเป็นสาธารณะประโยชน์และทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาสืบต่อไป ต่อมา พันโทเรือง และ คุณหญิงอุไร สองสามีภรรยา ผู้มีความศรัทธาในบุญกุศลและเป็นโยมอุปถัมภ์วัดวิมุตยาราม หากมีงานบุญใดที่สองสามีภรรยาจะช่วยทางวัดได้ก็ดำเนินการให้เสมอ ซึ่งในช่วงที่พระครูวิมุติธรรมมาภรณ์ ได้ไปดูที่ดินที่หุบกะพง พันโทเรืองได้มาหาพระครูวิมุติธรรมมาภรณ์ จึงได้ทราบเรื่องเกี่ยวกับที่ดินหุบกะพงจากเจ้าอาวาส จึงคิดช่วยเหลือตายาย และได้นิมนต์ท่านพระครู และพระลูกวัด เพื่อไปดูสถานที่ ว่าคณะสงฆ์ชอบที่ดินผืนนี้หรือไม่ เมื่อคณะสงฆ์ตกลงเห็นชอบ พันโทเรือง จึงตกลงซื้อที่ดินใช้หนี้คุณตาและคุณยาย เพื่อจะได้หมดห่วงเรื่องหนี้สิน ในวันรุ้งขึ้นคุณตาและคุณยายก็ได้มอบโฉนดที่ดินให้แก่พระหลานชาย และมอบให้แก่ วัดมุตยารามตามเจตนาเพื่อทุกฝ่ายประสงค์ไว้ใช้ เพื่อสาธารณะประโยชน์........จนเป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมของวัดวิมุตยาราม ณ หุบกะพง จ.เพชรบุรี....จบ ย่อแล้วนะค่ะ เวลา 13.30 น. อ.เจน บรรยายธรรมมะ รวมทั้งแนะนำการพิจารณาตนเองและการทำความดีที่ชาวพุทธควรที่จะปฏิบัติ โดยให้ยึดถือตามที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เวลา 14.30 น. พระอาจารย์เสมอ จากจังหวัดระยอง ท่านมีตำแหน่งเป็นรองเจ้าอาวาสวัดในกรุงเทพฯ แห่งหนึ่ง แต่ไปสอนกรรมฐานที่สำนักปฏิบัติธรรมในจังหวัดระยองท่านบรรยายเรื่องการนั่งสมาธิที่ถูกต้องและมีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตนของชาวพุทธมามกะ เวลา 16.00 น. รุ้งตะวัน + จี๊ด มาขอแชร์ประสบการณ์ที่ได้ติดตาม อ.เจน ไปตามสถานที่ต่างๆ และได้พบกับเหตุการณ์ที่ชวนขนหัวลุก รวมทั้งเรื่องมหัศจรรย์พันลึก แต่กำลังสนุกก็หมดเวลาเสียแล้ว
เวลา 17.30 น. อ.เจน กล่าวนำจบถวายผ้าป่า เพื่อสร้างห้องน้ำและลานตากผ้าให้กับสถานปฏิบัติธรรม "วัดวิมุตยาราม"โดยส่วนตัวของดิฉันเองผู้เขียน ก็ต้องขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ร่วมแรงร่วมใจกันได้ปัจจัยไปกว่า 472,.........แสนบาท (มีเพิ่มเติมอีกค่ะ) และขออนุโมทนาบุญกับผู้มีจิตศรัทธานำอาหารมาเลี้ยงตั้งโรงทาน อ.เจน เคยบอกว่า การให้ทานเป็นการสะสมเสบียงเกิดพบใดชาติใดก็จะไม่อดไม่อยากจะได้เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เวลา 18.30 น. อ.เจน กล่าวนำ อาราธนาศีล และนั่งสมาธิ ก่อนเข้าสู่พิธีการสวดมนต์ข้ามปี
การจัดงานหน้าเมรุ สถานที่จัดงานของ อ.เจน ไม่ธรรมดาและไม่ซ้ำแบบใคร ไม่มีใครเหมือนค่ะ มาเพื่อปลงกันแท้ๆ เราจัดงานกันที่หน้าเมรุ กันเลยทีเดียวเชียวช่วงเวลากลางวันมันไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แต่พอช่วงพลบค่ำนี่ซิ บรื้อ มันวังเวงวิเวกวิเหวโหว แสงไฟสาดส่องสลัวๆ คนที่มาร่วมงานก็เริ่มทยอยกันมาแล้ว และคนที่มาร่วมงานตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงเย็นก็มากโข แม้ว่าคนจำนวนมากแต่สถานที่กว้างขวางมาก มุมมืดต่างๆ ก็มีตั้งหลายมุมที่แสงไฟสาดส่องไปไม่ถึง ก่อนเริ่มสวดมนต์ นั่งสมาธิ ในช่วงเย็นนี้ ดิฉันก็ได้ชวน แม่ตี้ และน้องแจง รวม 3 คน พากันเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมสวดมนต์กับ อ.เจน แต่ห้องน้ำด้านหน้ามีคนยืนรอเข้าห้องน้ำอยู่ พวกเราก็ต้องรีบเดี๋ยวจะไม่ทันเวลา จึงพากันเดินไปทางด้านหลังเมรุ ระหว่างทางเดินมีเพียง 3 คน พวกเราก็เดินกันอย่างเงียบไม่คุยกันเลยค่ะ เพราะว่ามันพิกลๆ มันช่างวังเวงเสียเหลือเกิน เพราะถ้าหันหน้าไปทางห้องน้ำ พวกเราได้สังเกตบริเวณโดยรอบแล้วเพราะมันวังเวงนั่นแหละค่ะ ไม่มีใครคุยกันสักคนเดินกันอย่างเงียบและรีบเร่ง ที่ด้านขวามือเป็นต้นไม้ใหญ่ ด้านซ้ายมือเป็นเหมือนโกดังเก็บของอะไรบางอย่าง มืดแล้วด้วยตอนนี้เกือบหนึ่งทุ่มแล้วมันมืดมากๆ ตัวดิฉันเองจะชอบมีคามรู้สึกว่ามีคนมาจ้องมองอยู่เสมอถ้าบริเวณนั้นมีอะไรค่ะ จึงเชื่อว่าพวกเราคงไม่พ้นสายตาปริศนานั่นเป็นแน่ เพราะที่นี่เป็นหลังเมรุ เราต้องเดินผ่านเตาเผาที่เขาเปิดโล่งให้เห็นช่องเตาด้วยค่ะ ก็ทำเป็นเดินไม่มองมันซะ แต่ก็เหมือนมีคนมามองเราแทนนี่ไง คิดแต่ไม่พูดค่ะ คิดในใจ เมื่อเดินกลับมาก็มานั่งสวดมนต์ร่วมกับทุกคน โดยนั่งข้างหน้า และแล้วดิฉันก็หันไปมองคุณรุ้ง ที่ส่งสัญาณให้ดิฉันไปนั่งที่ตรงนั้น ที่ตรงไหนหรือค่ะ ที่หน้าเมรุบริเวณทางขึ้นลงของบันไดเมรุนั่นแหละค่ะ เมื่อสวดมนต์ สวดอิติปิโส..เสร็จแล้ว อ.เจน ก็นำกล่าวคำขอพระกัมมัฏฐาน และเริ่มนั่งสมาธิ ได้พลังจิตจากการนั่งสมาธิ ตามที่ ท่านที่มาร่วมงานในวันนั้น ได้มาโพสต์ แสดงความคิดเห็น และคนที่มาร่วมงานในวันนั้น ต่างก็มาพูดคุยกับ อ.เจน และ คุณรุ้ง ว่าแปลกใจมากที่มาในวันนี้นั่งสมาธิได้ย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ใช่เฉพาะทุกท่านที่เป็นนะค่ะ ดิฉันเอง นั่งสมาธิได้ดีมากแม้จะเป็นเวลาเพียงสั้นๆ ไม่นานนัก เพราะว่าจะต้องไปเข้าพิธีในโบสถ์ใหญ่สวดมนต์ข้ามคืนเป็นช่วงกิจกรรมของทางวัด อ.เจน จึงพูดว่า “ออกจากสมาธิหนอๆ ๆ” ส่วนดิฉันในขณะนั้นนั่งได้ดีมาก ก็พูดในใจว่า “ไม่อยากออกจากสมาธิหนอ ๆๆ” ดิฉันออกจากสมาธิแล้วก็อดเสียดายไม่ได้จึงหันไปบอกกับคุณรุ้ง ว่า นั่งดีมากคุณรุ้ง ไม่อยากออกจากสมาธิเลย คุณรุ้ง จึงบอกว่า เห็นมั้ยพี่ การนั่งสมาธิ กับผู้มีญาณ และที่สำคัญเป็นหน้าเมรุ อย่างนี้ จะแรงมากค่ะ เพราะพวกสัมภเวสี เขามีพลังมาก เขาก็อยากได้บุญจากเราเขาก็จะให้สิ่งที่เราปรารถนาได้ทุกอย่างพวกเขาทำได้ค่ะ นอกจากนี้ที่นี่มีสัมภเวสีเป็นจำนวนมาก ผีเจ้าแม่ตะเคียนหลังเมรุ ช่วงนี้คนก็เริ่มทยอยขึ้นโบสถ์กันแล้วพวกเราก็ว่าง นั่งพักกันอยู่ แล้ว อ.เจน ก็เดินมาสมทบ โดยพูดว่า พี่ๆ มีใครได้เดินไปเข้าห้องน้ำที่ด้านหลังเมรุบ้างค่ะ ดิฉันก็รีบบอกไปว่า อ๋อ ก่อนสวดมนต์ไปมาค่ะ ไปกับ แม่ตี้ และน้องแจง ค่ะ แล้ว อ.เจน ก็บอกว่า เมื่อตะกี้นี้หนูก็ไปมาค่ะไปกับคุณสุดารัตน์ ถ้า อ.เจน ถามแบบนี้จะต้องมีอะไรเป็นแน่ ดิฉันจึงถามว่า แล้วมีอะไรหรือเปล่าค่ะ ก็อย่างที่พูดไว้แต่แรกแล้วว่าเหมือนกับว่ามีใครมาจ้องมองพวกเราอยู่นั่นแหละค่ะ แต่ดิฉันไม่มีตาทิพย์ หูทิพย์ เหมือนกับ อ.เจน แต่เมื่อ อ.เจน ถามออกมาอย่างนี้มันต้องมีอะไรเด็ดๆเป็นแน่ เพราะอาจารย์เป็นคนมีตาทิพย์ หูทิพย์ จริงมั้ยค่ะ ดังนั้น พวกเราก็ตั้งใจฟัง อ.เจน จึงบอกว่า ที่ด้านขวามือหนูหันไปเห็นผีวิญญาณเจ้าแม่ตะเคียนมายืนขอส่วนบุญจากหนู ผมงี้ยาวสยายเชียวค่ะ และรู้ได้ว่าเป็นเจ้าแม่ จึงอุทิศบุญให้เขาไปและเมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเจ้าแม่ก็มาจับขาหนูไม่ให้เดินต้องการบุญจากหนูอีกจึงอุทิศบุญให้อีกครั้งหนึ่งจึงยอมไปค่ะ โอ้..โห..นั่นไงว่าแล้วว่ามีคนมาจ้องอยู่ แหม ถ้าเป็นต้นไม้ต้นนั้นละก็ เดินผ่านอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว ส่วนคุณสุดารัตน์ บอกว่าโชคดีที่หนูไม่สามารถมองเห็นผีได้ไม่งั้นก็แย่เลย..เฮ้อ.. เทวดานางฟ้ามาประทานพร ณ ช่วงเวลา 00.00 น. ดิฉัน กับคุณรุ้ง ได้รับทราบจากที่ อ.เจน กระซิบบอกว่า พี่ๆ ครูบาร์อาจารย์มาบอกว่า เวลา 00.05 น. ถ้าจะขอพรเหล่าเทวดานางฟ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะลงมาประทานพรให้กับมนุษย์ที่ทำความดี เนื่องในโอกาสปีใหม่นี้ค่ะ แต่พวกเราก็ได้แต่บอกต่อๆ กันไปในกลุ่ม ใจจริงแล้วพวกเราอยากจะจะตะโกนบอกว่า อ.เจน พูดว่า เวลา00.05 น. เหล่าเทวดานางฟ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายท่านจะลงมาอำนวยอวยพร ใครขอพรใดก็จะได้สมหวัง แต่ท่านเทพเทวาเหล่านั้น ท่านจะประมวลภาพเหตุการณ์ การทำความดีของเราด้วยค่ะ ว่าที่ผ่านมาเราทำอะไรดีๆ บ้าง ท่านก็จะประทานพรให้แก่เราค่ะ แต่ในขณะนั้น เป็นช่วงพิธีการของฝ่ายคณะสงฆ์ของวัด ใครจะกล้าไปแย่งไมโครโฟนจากพระท่านล่ะ ใจอยากตะโกนบอกทุกคนให้รับรู้โดยทั่วกันเกรงจะไม่สมควรและใครจะเชื่อเราล่ะค่ะ ขณะที่กำลังบอกต่อๆ กันอยู่นั้น คุณเป็ก ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ เมื่อได้ยินดังนั้น จึงคิดแผนการสำหรับตนเอง ด้วยการมาบอกกับ คุณรุ้ง และดิฉัน ว่า เอาอย่างนี้ผมจะเริ่มขอพรตั้งแต่เวลา 00.01 น. เพราะผมจะขอร่ายยาวกว่าจะเสร็จก็ครอบคลุมไปกว่าเวลา 00.05 น. แหมๆ ได้ยินอย่างนี้ไม่ได้แล้ว ดิฉันก็คิดว่าของเราเริ่มตั้งแต่ 23.05 น. ขอพรให้นานเป็น 10 นาทีไปเลย เอาแบบว่าขอพร วนไปวนมาหลายรอบดีกว่า จะได้ขลังๆ กันไปเลย ส่วนคุณรุ้งบอกว่า เอางี้พี่หนูเริ่มอธิษฐานขอพรตั้งแต่ 00.03 น. ดีกว่า ดังนั้น ก่อนที่ท่านเจ้าอาวาสท่านจะพรมน้ำมนต์ ดิฉัน กับคุณรุ้ง ก็เริ่มอธิษฐานแล้ว เมื่อได้รับน้ำมนต์จากท่านแล้วก็ไม่รอช้า พากันไปเดินหามุมที่คิดว่าเทวดานางฟ้าท่านจะเห็นใจ เอ้ย เห็นตัว จะได้ชัดเจนกันไปเลย ซึ่งก็ได้ที่เหมาะๆแล้ว ได้เห็นท้องฟ้าเต็มที่หน่อย แม้จะไม่มีตาทิพย์ที่จะได้เห็นเทวดานางฟ้าเหมือนกับ อ.เจน แต่ก็อธิษฐานด้วยใจละว้า ว่าแล้วก็จูงมือกันไป 2 คน แหงนหน้าขึ้นบนฟ้าตั้งใจ แล้วกล่าวดังใจคิด........ เมื่อลืมตาขึ้นมา ใครๆ ถามว่าทำไรก้น ดิฉัน กับคุณรุ้ง ก็รีบบอกให้ทุกคนทำตามที่ อ.เจน บอก เร็วๆ ยังทัน เทวดานางฟ้าลงมาประทานพร ทุกคนต่างก็นั่งลงขอพรเหมือนกับดิฉันแหละค่ะ และดิฉันก็ขอพรซ้ำๆ เดิมอยู่อย่างนั้น เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกที โอ้ โห คนงี้ นั่งกันสลอน นี่พวกเขานั่งขอพรตามเรากันหมดเลยหรือนี่ดีจัง เขาคงบอกต่อๆ กันไปค่ะ อ.เจน พูดว่า พี่ๆ เหล่าเทวดานางฟ้าและสิ่งศักสิทธิ์ เหาะมาเต็มท้องฟ้า หน้าตาสวยงามมากแต่งชุดเหมือนที่เขาวาดในจิตรกรรมฝาผนังค่ะ แต่คิ้วไม่โก่งเป็นคันศร แบบไทยๆ อย่างที่เขาวาดกัน คือว่าสวยงามมากกว่าที่เขาวาดไว้เสียอีก อ.เจน บอกว่า สวยงามเกินคำบรรยายค่ะ ซึ่ง ดิฉันก็ได้ถามว่าจะมีเฉพาะที่วัดวิมุตยารามนี้หรือไม่ค่ะ อ.เจน บอกว่า มีทั่วทั้งท้องฟ้าไม่ว่าจะเป็นที่แห่งใดค่ะ น่าประทับใจมากๆ ค่ะวันนั้น อ.เจน ก็ขอพรด้วยค่ะ
ที่ประทับใจมากที่สุด ก็ที่ในโบสถ์ที่สวยงามนี้ เขาจะไม่เปิดให้ใครเข้าไปชมนะค่ะเพราะเป็นพระประธานที่เก่าแก่มากและสวยงามมากด้วย ต้องเป็นวันสำคัญเท่านั้น วัดนี้มีอายุกว่า 200 ปีแล้วค่ะ
ท้ายนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านผู้อ่านตลอดปี 2556 อย่าลืมนะค่ะ หมั่นทำความดี ทาน ศีล ภาวนา ปีหน้าสวดมนต์ข้ามปี จะได้ขอพรจากเทวดานางฟ้าอีกค่ะ สวัสดีค่ะ เก็บตก ลืมเล่า ขอต่ออีกนิดหนึ่งค่ะ ดิฉันจะบอกกล่าวว่า อ.เจน และทีมงานไม่ค่อยมีเวลาว่างหรอกค่ะ เมื่อว่างก็มารวมตัวกันช่วยเหลือ อ.เจน เช่น ก่อนวันงานสวดมนต์ข้ามปี ก็ต้องมีสิ่งของผู้ใจบุญบริจาคเข้าสำนักปฏิบัติธรรมหุบกะพง ข้าวของมากมาย เช่น เสื่อ อาสนะ ชุดขาว ประมาณ 300-400 ชุด จาน ชาม ช้อน แก้ว หม้อ กระทะ จิปาถะ และอีกมากมายก่ายกอง ที่จะต้องนำไปเก็บไว้ที่หุบกะพง เราต้องนำมานับจัดเรียงให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อเตรียมขนย้ายเพราะที่บ้านเต็มไปด้วยสิ่งของไม่มีทางจะเดินอยู่แล้ว และไหนจะต้องเตรียมข้อมูลและงานสวดมนต์ข้าวปีด้วย ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ค่ะ
คุณรุ้ง นอนละเมอ แม่ตี้ บอกว่า คุณรุ้ง นอนๆ อยู่ลุกขึ้นมานั่งกวักมือ 2 มือ แล้วร้องว่า มาลงทะเบียนๆๆ คุณสุดารัตน์ ฝัน ว่า อ.เจน กับ คุณรุ้ง ร้องเรียกให้มาจบของถึง 3 รอบ ในฝันเกิดความลำคราญจึงร้องออกไปว่า โอ๊ย ไม่ต้องจบแล้ว จบของตั้ง 3 รอบแล้ว ใครจะจบอีกก็จบไป ดิฉัน ฝัน ว่า นั่งนับแต่ของทั้งกองใหญ่ นับมันอยู่นั่นแหละ แล้วก็ร้องออกมาว่า 28 อันๆๆๆ ในฝันท่องอยู่อย่างนั้น ดิฉันก็งง ตัวเองอยู่เหมือนกันตื่นมายังจำได้เลยค่ะ แต่อย่าไปแทงหวยนะค่ะ มันแค่ความฝันที่ทำงานมากๆ แล้วฝังใจนะค่ะ
|