
จี๊ดจ๊าด ขอมาเล่าค่ะ บุญจากการเททองหล่อพระ มีอานิสงส์มากจริงได้พบเห็นกันในชาตินี้เลยค่ะที่ดิฉันกล้าพูดเช่นนี้เพราะอะไรก็เพราะจากประสบการณ์ตรงของดิฉันเองค่ะ ที่ดิฉันอยากนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อบุญที่ยิ่งใหญ่ค่ะ เมื่อหลายปีก่อนดิฉันตั้งแต่ดิฉันได้มาพบเจออ.เจนและคุณรุ้งครั้งแรก ๆ ช่วงนั้น อ.เจน และคุณรุ้ง ได้ชักชวนดิฉันไปเททองหล่อพระครั้งนั้นดิฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าจริงเหรอแค่เททองหล่อพระเนี้ยนะเป็นบุญใหญ่ แต่ อ.เจนและคุณรุ้ง
ก็ช่วยกันอธิบายว่าพี่อานิสงส์สูงมากเพราะพระที่เราไปร่วมหล่อจนสำเร็จนี้จะยั่งยืนสืบทอดไปตราบจนลูกหลานเหลนโหลนในภายภาคหน้าโดยจะมีผู้คนมากราบไหว้พระพุทธรูปนั้นด้วยการสวดมนต์ เจริญภาวนาและประกอบพิธีทางศาสนา นั้นก็หมายความว่า ทุกครั้งที่ผู้คน
ได้เข้ามากราบสักการะบูชาพระพุทธรูปที่เราได้ร่วมหล่อกันนี้มีอานิสงส์มากจริงๆซึ่งอานิสงส์ที่ท่านได้อ่านไปแล้วเบื้องต้นนั้นแหละค่ะดีอย่างไรจะเล่าให้ฟังค่ะ

ดิฉันได้ไปร่วมหล่อพระกับอาจารย์ทั้งสองประมาณ 2 – 3 ครั้งเห็นจะได้ที่ว่าเป็นอาจารย์ทั้งสองก็เพราะว่า คุณรุ้งเป็นพี่สาวอาจารย์เจนก็จริงแต่มีภูมิธรรมสูงมากเพราะเป็นคู่บุญร่วมกันมาหลายชาติจากที่ดิฉันได้ติดตามอาจารย์มาตลอดจึงได้รู้เรื่องนี้ดี ซึ่งดิฉันยังจำได้แม่นยำแม้นว่าเหตุการณ์นั้นนานมาแล้วก็ตามว่าอาจารย์ได้ชักชวนไปเททองหล่อพระครั้งแรก เป็นพิธีเททองหล่อ หลวงปู่ชีวกโกมารภัจจ์ หมอประจำตัวพระพุทธเจ้าในพุทธกาล จำได้ว่าในวันนั้นทำพิธีใหญ่คนเป็นร้อยเป็นพัน มีพระเกจินั่งปรก 4ทิศ และมีพราหมณ์ทำพิธีบวงสรวงต่าง ๆดิฉันก็ได้แต่ยืนดูค่ะ และขณะที่ทำพิธีอยู่นั้น หากคนที่รู้จักสังเกตก็จะพบว่าท้องฟ้าที่สว่างด้วยแสงแดดที่แผดเผาก็กลับมีท้องฟ้าที่ร่มและเย็น มีลมอวลไปหมดทันใดนั้น อ.เจน ก็กระซิบกับดิฉันว่า หลวงปู่ชีวก ท่านมาร่วมพิธีด้วยค่ะซึ่งดิฉันก็ดีใจในเบื้องต้นแล้ว ต่อมาก็มานั่งที่เก้าอี้ที่เขาเตรียมไว้รับรองผู้มาร่วมงานเมื่อนั่งลงแล้ว อ.เจน และคุณรุ้ง ก็แนะนำให้ดิฉันกำหนดจิตว่าจะต้องทำอย่างไรที่ถูกต้อง เพื่อปลดปล่อยให้กับเจ้ากรรมนายเวรของดิฉันค่ะ เพื่อให้เราได้อานิสงส์ของบุญเททองหล่อพระอย่างเต็มเปี่ยมค่ะดิฉันก็ทำตามนั้นทุกประการ ระหว่างนั้น อ.เจน ก็หันมาพูดว่า ช่วงที่กำหนดจิตอยู่ที่การเททองหล่อหลวงปู่ชีวกอยู่นั้น รู้สึกว่าตนเองตัวลอยขึ้นไป แต่ดิฉันกับคุณรุ้ง หันมามองหน้ากันและตอบพร้อมๆกันว่าก็ไม่นี่ค่ะ เพราะว่าเราไม่มีญาณไงค่ะ คุณรุ้ง ยังมีความรู้สึกสัมผัสทางผิวกายได้แต่ดิฉันไม่มีเลยแม้สักนิดค่ะ แต่มีความรู้สึกปิติสุขมาก รู้ได้อย่างไรว่าดิฉันได้รับการปลดปล่อยจากกรรมให้เบาบางลงได้บ้างและมีอานิสงส์บุญอะไรทำชีวิตของเราเปลี่ยน ก็คือว่า ดิฉันได้เคยเล่าสู่กันฟังมานานมากแล้วว่าแต่ขอเล่าอีกครั้งเพราะบางคนก็อาจจะไม่ทราบ เรื่องของดิฉัน ก็คือว่าดิฉันปวดเบ้าตา ประมาณ 20 กว่าปี พบแพทย์ตรวจสายตาไปรักษาถึง 2 โรงพยาบาล แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ จึงปล่อยให้ปวด ๆไปตามนั้น เพราะไม่ได้มีอาการปวดทุกวัน ประมาณ 20 กว่าปี แต่เมื่อพบกับ อ.เจนจึงได้รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรของดิฉันเป็นปู จากอดีตชาติ ชาติที่ 1 ที่เป็นลูกชาวเล ได้นำเอาปูไปดองใส่ขวด เพื่อนำไปขาย(แบบที่บางแสนนั้นแหละค่ะ) ทำการดองทั้ง ๆที่มันยังไม่ตาย ยังเป็นๆ อยู่นั้น ซึ่งปูเหล่านั้นก็เจ็บปวดทรมานตามาก สังเกตสิค่ะ ปู มันจะมีลูกตาออกมานอกเบ้านอกกระดองของมันค่ะ มันจึงทรมานจนตายและสาปแช่งเป็นเจ้ากรรมนายเวรติดตามมาถึงชาติที่ 2 เกิดมาเป็นชายแต่ต้องประสบอุบัติเหตุทำให้พิการตาบอด เมื่อเห็นทุกข์จึงเห็นธรรมทำแต่ความดีครั้นตายไปขอให้เกิดใหม่เป็นคนที่มีอาการครบ 32ประการอย่าได้พิกลพิการเลย ด้วยแรงอธิษฐาน ชาติที่ 3 เกิดรูปใหม่นามใหม่เป็นหญิงแต่เมื่อถึงเวลาที่เขามาทวงคืนก็ประมาณอายุ 25 ปี เห็นจะได้ อ.เจน บอกนี่คือเศษกรรมค่ะจึงทำให้แค่ปวดเบ้าตา อาการที่เจ็บปวดนี้เหมือนมีคนเอามือมาขยี้ลูกตาหรือขยี้บีบเค้นตาของเราค่ะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ค่ะ

ความเชื่อที่ว่าบุญจากการเททองหล่อพระ ก็คือว่า หลังจากนั้นประมาณ 3เดือน ดิฉันหายอาการปวดตาอย่างน่าประหลาดใจมากค่ะ อ.เจน อธิบายว่าการที่เราตั้งใจในบุญที่เราทำอานิสงส์บุญก็จะมาก ไปตามความตั้งใจเจ้ากรรมนายเวรเขาเป็นสรรพสัตว์ เขาไม่อาฆาตเราเท่าไหร่เขาเพียงแต่อยากไปเกิดแล้วดิฉันได้ปลดปล่อยแล้วจากบุญที่ทำค่ะ อ.เจน บอกว่าเหล่าสรรพสัตว์ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร ก็จะละจากเราไปเป็นกระบิ ๆ เขาจะอโหสิกรรมให้เราค่ะ และหลังจากนั้นดิฉันก็ได้ไปเททองหล่อพระกับอาจารย์อีกแต่จำไม่ได้ว่าที่ใดบ้างจำแต่ครั้งแรกที่เป็นความประทับใจ ด้วยมีเหตุที่เหลือเชื่อเกิดกับดิฉันค่ะ เรื่องเหลือเชื่อที่เกิดกับดิฉันอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือว่าในช่วงเวลาอันใกล้กันนี้ดิฉันได้รับที่ดินจากลุงของดิฉันอย่างที่เหลื่อเชื่อเป็นที่สุด ก็คือว่ามีคนขายที่ดินอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านแม่ของดิฉัน ซึ่งดิฉันต้องการซื้อเอาไว้เสียเองโดยมีแผนการซื้อเป็นการผ่อนชำระกับธนาคารเป็นรายเดือนแต่เมื่อถึงวันที่กำหนดโอนซื้อที่ดินกันนั้น อยู่ ๆลุงของดิฉันก็ไปเบิกเงินของลุงมามอบให้ดิฉันไปจ่ายค่าซื้อที่ดินเป็นเงินสด ในวันนั้น ดิฉันกลับบ้านมายังนึกว่าฝันไป จึงเป็นความตราตรึงอยู่ในใจของดิฉัน ซึ่ง อ.เจน พูดกับดิฉันว่า พี่ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพราะพี่ทำของพี่มาค่ะ นั้นคือเรื่องเล่าที่ผ่านมาแล้วที่เกี่ยวกับอานิสงส์บุญจากการเททองหล่อพระแต่ก็อยากเล่าเรื่องที่เพิ่มเกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม 2557นี่ดีกว่าค่ะมีครอบครัวที่น่ารักครอบครัวหนึ่งที่ต้องขอสงวนสิทธิ์ชื่อของทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ยกเว้น อ.เจน คุณรุ้ง และดิฉัน ค่ะเรื่องมีอยู่ว่า ครอบครัวนี้ได้มาเชิญชวน อ.เจน และ คุณรุ้ง ไปงานทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านคุณหญิงท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่จะไปร่วมทำบุญเลี้ยงพระนี้เป็นอาริยะที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านชื่อว่า หลวงปู่บุญหนา เห็นมั้ยค่ะบุญของท่านยังหนาค่ะ นี่คือประวันของท่านค่ะ เป็นดังนี้

ประวัติหลวงปู่บุญหนา ธัมมทินโนวัดป่าโสตถิผล จ.สกลนคร ศิษย์ธรรมสาย"หลวงปู่มั่น"หลวงตาบุญหนา ธัมมทินโนพระสายวิปัสสนากัมมัฏฐานที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยชื่อดังรูปหนึ่งแห่งเมืองสกลนคร ซึ่งถือได้ว่าเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นสุดท้ายที่ยังดำรงอยู่ ณวัดป่าโสตถิผล บ้านหนองโดก ต.ช้างมิ่ง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร อัตโนประวัติหลวงตาบุญหนา ท่านเป็นหลานแท้ ๆ ของหลวงปู่ฝั้น อาจาโรแห่งวัดป่าอุดมสมพร ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เมื่ออายุ 12 ปี ได้เข้าพิธีบรรพชา ณ วัดแจ้ง บ้านหนองโดก ต.ช้างมิ่ง อ.พรรณานิคม จ.สกลนครซึ่งเป็นวัดบ้านเกิดของท่านเอง หลวงปู่บุญหนา ท่านได้ปฏิบัติอุปัฏฐากรับใช้ครูบาอาจารย์นานถึง 12 ปี ตั้งแต่ครั้งสมัยเป็นสามเณร เช่น หลวงปู่ฝั้น อาจาโรซึ่งเป็นหลวงอาได้นำท่านมาอยู่ด้วย และโดยเฉพาะกับพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริศิษย์สายธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ในช่วงที่เป็นสามเณรอยู่กับพระอาจารย์อ่อนเคยไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือ(วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) บ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เป็นประจำโดยมีพระอาจารย์อ่อนนำพาไป สาเหตุที่ได้ปฏิบัติอุปัฏฐากรับใช้พระอาจารย์อ่อนด้วยพระอาจารย์อ่อนเดินธุดงค์มาพำนักหาความสงบวิเวกอยู่ที่บริเวณป่าช้าบ้านหนองโดก (ปัจจุบันคือวัดป่าโสตถิผล หรือวัดป่าบ้านหนองโดก)ตอนนั้นได้บรรพชาเป็นสามเณร แต่เป็นฝ่ายมหานิกาย พักอยู่วัดแจ้ง บ้านหนองโดกเป็นวัดบ้านของท่านเอง และไม่ไกลจากป่าช้าที่พระอาจารย์อ่อนไปพักอยู่นั้นมากนัก
หลวงปู่บุญหนาท่านบอกว่าตอนที่ไปกราบนมัสการพระอาจารย์มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส)ครั้งแรกไปกับพระอาจารย์อ่อน พร้อมกับสามเณรอีกรูปหนึ่งและญาติโยม 4-5คน เดินมุ่งหน้าสู่เทือกเขาภูพานที่อยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้านหนองโดก ก่อนเดินทางถึงวัดป่าบ้านหนองผือเวลาประมาณบ่าย 3 โมง พอเข้าไปภายในบริเวณวัดรู้สึกว่าภายในวัดร่มรื่นสงบเงียบเหมือนกับไม่มีพระเณรทำให้ตื่นตาตื่นใจเป็นครั้งแรกเห็นพระเณรกำลังทำกิจวัตรกวาดลานวัดด้วยไม้ตาด ส่วนพระอาจารย์อ่อน พร้อมคณะเข้าไปกราบนมัสการพระอาจารย์มั่นบนกุฏิ เสร็จแล้วก็กลับที่พัก ปัดกวาดลานวัดตักน้ำใช้น้ำฉันจากบ่อน้ำ เสร็จจากนั้นก็เตรียมรอสรงน้ำพระอาจารย์มั่นบริเวณหน้ากุฏิซึ่งมีพระเตรียมน้ำสรงไว้โดยใช้น้ำร้อนผสมพอให้อุ่นเมื่อพระอาจารย์มั่นเข้ามานั่งบนตั่งแล้ว คราวนี้พระเณรทั้งหลายห้อมล้อมเพื่อเข้าไปถูหลังขัดไคลถวายอย่างเปี่ยมล้นด้วยศรัทธา ส่วนสามเณรบุญหนามีโอกาสเข้าไปร่วมสรงน้ำท่านพระอาจารย์มั่นในครั้งนี้ด้วย

หลวงตาบุญหนา ธัมมทินโนวัดป่าโสตถิผล จ.สกลนคร
เมื่อพระอาจารย์มั่นเห็นท่านซึ่งเป็นสามเณรมาใหม่พระอาจารย์มั่นจึงพูดสำเนียงอีสานขึ้นว่า "เณรมาแต่ไส..."แต่สามเณรบุญหนาไม่ทันตอบ มีพระอาจารย์ทองคำตอบแทนว่า "เณรมากับครูบาอ่อนข้าน้อย" จากนั้นท่านไม่ได้ว่าอะไรต่อไป จนเสร็จจากการสรงน้ำท่านในวันนั้น นอกจากนี้ ท่านยังได้ปฏิบัติอุปัฏฐากรับใช้ครูบาอาจารย์อื่นๆ อีก เช่นพระอาจารย์ชอบ ฐานสโม พระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม พระอาจารย์ลี ธัมมธโร พระอาจารย์แหวนสุจิณโณ พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร และพระอาจารย์จาม มหาปุญโญ เป็นต้น หลวงตาบุญหนาได้มาพำนักจำพรรษาอยู่ ณ วัดป่าโสตถิผล บ้านหนองโดก ต.ช้างมิ่ง อ.พรรณานิคมจ.สกลนคร ตราบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน นับได้ว่าท่านเป็นพระอริยะสงฆ์สงฆ์ที่ควรค่าแก่การกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจอีกรูปหนึ่งที่ยังเหลืออยู่ หลวงปู่บุญหนาได้ให้สติแก่ญาติโยมผู้เดินทางมากราบนมัสการเสมอว่า ให้เป็นผู้มีสติ ระลึกรู้ในกายสติระลึกรู้ในวาจาคำพูด สติระลึกรู้ในใจ เมื่อสติรู้ซักซ้อมอยู่ภายในกาย วาจาและใจแล้ว ทำ พูด คิด ถูกและผิด ก็ระลึกรู้อยู่ ปรับปรุงอยู่อย่างนี้เสมอซึ่งเป็นคำสอนของพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ ที่ได้เล่าเรื่องของท่านพระอาจารย์เสาร์กนฺตสีโล เทศน์แสดงธรรมสั้นๆในช่วงที่เคยเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่นครั้งนั้นว่า "กายสุจริตวจีสุจริต มโนสุจริต กายบริสุทธิ์ วาจาบริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์" ดิฉันตื่นเต้นมากค่ะ วันนั้นตื่นแต่ไก่ไม่โห่ ตื่นก่อนไก่เพราะวันนี้จะได้ไปทำบุญกับพระอริยะสงฆ์ที่พบหาได้ยากและเข้าพบยากด้วยค่ะ นับว่าเป็นบุญของดิฉันมากค่ะดิฉันก็ต้องขอขอบคุณครอบครัวน่ารัก และท่านผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้าของบ้าน ด้วยการขออนุโมทนาบุญมา ณ ที่นี่ด้วยค่ะ ก่อนที่จะถึงบ้านของผู้ใหญ่คนนี้ครอบครัวน่ารักที่นำพามาที่บ้านก็บรรยายมาตลอดเส้นทางว่าที่นี่คนมากราบหลวงปู่ท่านเป็นจำนวนมากถ้ารู้ว่าท่านมา รถยนต์จะจอดกันแน่นจนไม่มีที่จะจอดคนเป็นร้อย ดิฉันก็เกร็งว่าโอ่นี่เราจะเข้าไปกราบท่านถึงหรือนี่ แต่เมื่อไปถึงปรากฏว่าไม่มีใคร มีแต่ครอบครัวน่ารัก อ.เจน คุณรุ้ง และดิฉัน เดินกันอย่างเงียบครอบครัวใจดีก็พูดขึ้นมาวันนี้แปลก ปกติจะมีคนมามากหน้าหลายตา หรือจะมีแต่พวกเราซึ่งเมื่อเดินเข้าไปก็จริงอย่างนั้นค่ะ มีท่านผู้ใหญ่ ครอบครัวใจดี และคณะ อ.เจนเท่านั้นจริง ๆ ค่ะ
ที่บ้านของผู้ใหญ่ใจดีท่านนี้ มีบริเวณเนื้อที่กว้างขวาง บ้านตั้งอยู่ริมแม่น้ำใหญ่บรรยากาศร่มเย็น สบาย และสงบเงียบ ท่านผู้ใหญ่คนนี้ได้เป็นโยมอุปถากจัดห้องพักรับรองให้กับหลวงปู่บุญหนาทุกครั้งที่ได้มาพักรักษาตัวในโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯค่ะ และในวันนี้ท่านผู้ใหญ่คนนี้ก็ได้จัดสำรับอาหารคาวหวานจัดไว้เป็นอย่างดี อ.เจนคุณรุ้ง และดิฉัน มีบุญจริง ๆ ค่ะ ที่ได้มีโอกาสมากราบหลวงปู่ท่าน

เมื่อเข้ามาภายในบ้านพวกแม่บ้านก็จัดเรียงสำรับอาหารคาวหวานที่ได้ตระเตรียมไว้แล้ว มีบาตรพระตั้งอยู่ 2ใบ ซึ่งก็พอจะเดาได้ว่า ใบหนึ่งของหลวงปู่บุญหนา อีกใบคงเป็นของพระที่ติดตามท่านมาแม่บ้านและคนงานของเจ้าของบ้านนั่งเรียงคอยให้การรับใช้ช่วยเหลืออยู่เป็นสองฝั่งมีเสื่อสีแดงวางเป็นทางเดินพาดยาวอ.เจน คุณรุ้ง และดิฉันก็นั่งเรียงตาม ๆ เขาค่ะ รอใส่บาตรพระ ระหว่างนั้น อ.เจนก็หันมาบอกว่าพี่เชิญเทวดาประจำตัวและเทวดาทั้งหลายมาร่มอนุโมทนาบุที่วันนี้พี่จะได้ใส่บาตรพระอริยะสงฆ์สงฆ์สิค่ะดิฉันก็ทำตาม อ.เจน พูดทุกประการ และเมื่อแม่บ้านส่งสัญญาณให้เริ่มใส่บาตรได้แล้วต่างก็คุกเข่าคลานไปหยิบชามแก้วที่มีข้าวสวยหุงไว้ร้อนๆ ซีลด้วยพลาสติกเรียบร้อย ในภาชนะนั้นจะมีข้าวสวยหลากสี เช่น ข้าวสีขาวข้าวสีเหลือง ข้าวสีนิล (ดำ) ข้าวกล้อง ล้วนแต่เป็นข้าวบำรุงสุขภาพทั้งนั้นขณะที่ทุกคนเตรียมคุกเข่าและคลานตามกันไปอยู่นั้น อ.เจน ก็หันมาบอกว่าพี่เทวดาอยู่ข้างหลังของพี่แน่ะค่ะ พี่เชิญท่านมาใช่มั้ยค่ะ แล้ว อ.เจน ก็ยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า เทวดาท่านดีใจท่านจะได้อนุโมทนาบุญกับพี่เพราะว่าพระรูปนี้เป็นพระอริยะสงฆ์หาทำได้ยากค่ะดิฉันก็ดีใจนะค่ะที่ อ.เจน ได้เห็นเทวดาประจำตัวดิฉันซึ่งดิฉันก็เชิญมาจริง ๆ ค่ะ เพียงแต่ว่าตัวดิฉันเองไม่มีตาทิพย์ที่จะได้เห็นท่านเทวดาเท่านั้นค่ะ

หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มใส่บาตรข้าวสวยกันค่ะ ก็มีท่านผู้ใหญ่และลูกหลาน 2-3 คน และลูกน้องเพียงไม่กี่คนค่ะ คุณรุ้ง นำหน้า ดิฉันตามหลัง และอ.เจน ตามหลังกันต่อ ๆ กันไป ค่ะ เมื่อชามข้าวถึงมือดิฉันก็หมดชามพอดีค่ะชามที่ต่อจากนั้นก็เป็นของ อ.เจน ซึ่งเป็นข้าวสีนิล (ดำ)เปิดชามข้าวออกมาควันโก๋เลยค่ะ แต่เป็นของ อ.เจน ประเดิมคนแรกดิฉันกับคุณรุ้งหันมามองกัน ไม่น่าเชื่อ อ.เจน มีบุญจริง ๆ นะ แอบคุยกันสองคน เมื่อเสร็จจากการใส่บาตรข้าวสวยแล้วก็ตามด้วยอาหารคาวหวานค่ะ อาหารทุกจานที่ผ่านมือของดิฉันไปดิฉันได้ร่วมอนุโมทนาบุญกับผู้บริจาคผู้บริการทุกจานเลยค่ะอ.เจน บอกว่า บุญจากการที่เราได้อนุโมทนาบุญกับเขา เราก็ได้ด้วยเช่นกันค่ะแต่ต้องทำการอนุโมทนาด้วยใจที่น้อมในบุญที่เขาทำค่ะ ไม่ใช่พูดคำว่าอนุโมทนาบุญทั้งๆ ที่ไม่ได้ยินดีไปกับเขาอย่างจริงใจอันนี้ไม่ได้ค่ะ แต่เนื่องจากเราไม่ได้เตรียมมาด้วยก็ร่วมอนุโมทนาบุญกับเขาไปค่ะ
หลังจากนั้นท่านเจ้าของบ้านก็เชิญให้รับประทานอาหารข้าวก้นบาตรพระร่วมกันค่ะ เป็นบุญของดิฉันจริง ๆ หลวงปู่บุญหนาท่านฉันท์ภัตตาหารเรียบร้อยแล้วครอบครัวน่ารักก็ได้บอกให้ไปกราบหลวงปู่กัน ดิฉันคลานเข้าไปด้วยอาการสงบมากค่ะท่านอารมณ์ดีเป็นกันเองท่านมากค่ะ เมื่ออยู่เบื้องหน้าหลวงปู่ท่านก็นิ่งพูดอะไรไม่ถูกค่ะ ท่านก็ถามสารทุกข์สุขดิบว่า มาจากไหน ครอบครัวไม่ได้มาด้วยเหรอและท่านก็จ้องมองไปทางที่ อ.เจน กำลังคลานเข้ามาที่หลังท่านพูดเอ่ยขึ้นว่า “ หูทิพย์ ตาทิพย์ มาแล้ว ๆ ” ท่านก็พูดย้ำ ๆ อยู่อย่างนี้ดิฉันได้ยินเต็มทั้งสองหู จึงได้หันไปมองหน้าคุณรุ้ง ไม่ใช่เราแน่ ๆ ค่ะเพราะในห้องนั้น มีแต่พวกเราเท่านั้นค่ะ คือได้ยินหลวงปู่ท่านทักอย่างนี้กันหมดทุกคนแต่ไม่มีใครตอบค่ะ ในตอนนั้นดิฉันมองไปที่หลวงปู่ท่าน แล้วก็หันมามอง อ.เจน ดิฉันอึ้ง และอึ้ง ค่ะ อึ้งหลายตลบ เฮ้ย ท่านรู้ได้อย่างไรว่า อ.เจน มีหูทิพย์ตาทิพย์

สักพักหนึ่งท่านผู้ใหญ่เจ้าของบ้านก็คลานเข้ามาพร้อมสามี แต่นั่งอยู่หลังพวกเราที่เป็นแขกของบ้านเสียอีก ตำแหน่งที่นั่งตอนนั้น ดิฉันสุดแสนจะ งง กับสถานการณ์นั้นมากค่ะเพราะท่านเจ้าของบ้านท่านเข้านั่งอยู่เสียหลังสุดห้องค่ะ ในห้องนั้นก็มีครอบครัวน่ารักนั่งซ้ายสุดกับลูก ๆ ทั้ง 3 คน หลวงปู่ท่านก็ถามอายุเด็ก ๆ ว่ากี่ขวบกันบ้าง ผู้เป็นพ่อก็ตอบอายุเด็กแต่ละคน แต่หลวงปู่ท่านก็พูดทวนเลขอายุเด็ก สลับกัน อย่างนี้ ตรงเป๊ะทั้ง3 รอบ แต่ไม่มีใครสังเกตดิฉันสังเกตค่ะ สังเกตว่าหลวงปู่ท่านทวนเลขกลับกัน ถึง 2ครั้ง และการทวนแต่ละครั้งเลขที่ทวนตรงกันเป๊ะแต่พ่อของเด็กทั้งสามก็ยังคงไล่เรียงตัวเลขอยู่อย่างนั้นค่ะ ตรงหน้าของหลวงปู่ ก็มี ดิฉัน คุณรุ้ง และ อ.เจน เราทั้ง 3คนอยู่ตรงหน้าของหลวงปู่ท่านพอดีใกล้ชิดมากค่ะ อ.เจน และคุณรุ้ง มีความประสงค์จะนิมนต์ท่านไปเป็นประธานเททองหล่อพระที่สำนักปฏิบัติธรรม ณ ที่ดินที่หาซื้อได้แล้วในวันที่ 22มิถุนายน 2557 ที่จะถึงนี้ เพราะท่านเป็นพระอริยะสงฆ์ที่มีเมตตาสูง แต่ อ.เจน ก็รู้ด้วยญาณวิถีแล้วว่าท่านป่วยไม่สามารถไปงานเททองหล่อพระได้ จึงไม่กล้าที่จะนิมนต์ท่านค่ะ เมื่อเป็นเช่นนั้น อ.เจน ยังคงลังเลอยู่เพราะเกรงใจหลวงปู่ท่านค่ะระหว่างนั้น เทวดาประจำตัว อ.เจน ก็บอกให้ อ.เจน พูดนิมนต์หลวงปู่ท่าน แม้ว่าท่านจะมาไม่ได้แต่จะมีสิ่งที่เป็นตัวแทนของท่านไปแทนเมื่อเป็นเช่นนั้น อ.เจน ก็พูดขึ้นมาว่า หนูจะนิมนต์หลวงปู่ไปร่วมงานบุญเททองหล่อพระโดยบอกสถานที่ และจังหวัด ให้ท่านรับทราบ หลวงปู่ท่านจึงพูดว่า ทำดีแล้ว ทำไป เป็นสิ่งที่ดี ซึ่งจริงอย่างที่ท่านเทวดาท่านบอก หลวงปู่พูดว่า หลวงปู่มาหาหมอและเจ็บป่วยต้องมากรุงเทพฯเพื่อรักษาตัว แต่ถ้ามีแผ่นทองที่จะนำมาเป็นแผ่นนำฤกษ์เพื่อเป็นเชื้อนำมาเททองก็ให้เอามา ในตอนนั้น ดิฉันเสียดายอย่างสุดกำลังเพราะคิดว่าจะไปหาแผ่นทองที่ไหนดีล่ะ คิดว่าจะไปหาซื้อแผ่นทองได้ที่ไหน ตอนนี้ทันมั้ยน้า...กังวลใจแทบจะไปหาซื้อแต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาซื้อที่ไหนค่ะ แต่ทันใดนั้นคุณหญิงที่นั่งอยู่ด้านหลังท่านก็เสนอขึ้นมาว่า หลวงปู่เจ้าค่ะดิฉันมีแผนทองอยู่หลายแผ่นดิฉันมีเป็นตั้งเลยเจ้าค่ะ เพราะดิฉันเตรียมไว้เพื่อจะนำแผ่นทองที่เตรียมไว้นี้ไปงานเททองหล่อพระในวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะแล้วคุณหญิงก็นำแผ่นทองมาให้ค่ะ อุ๋ย ตอนนั้น ดิฉันดีใจจนเนื้อเต้นหันไปอนุโมทนาบุญกับคุณหญิงท่านเสียหลายครั้ง อ.เจน กับคุณรุ้ง ก็เช่นกันต่างก็หันไปอนุโมทนาบุญกับคุณหญิงท่านเช่นกัน เมื่อคุณหญิงท่านนำแผ่นทองมาส่งให้กับหลวงปู่ตั้งเบ้อเริ้มเชียวค่ะ หลวงปู่ท่านบอกว่า “ สมปรารถนานะ คิดเงินก็ได้เงินคิดทองก็ได้ทอง คิดถึงเงิน เงินก็มา คิดถึงทอง ทองก็มา ”ท่านพูดย้ำอยู่อย่างนี้ค่ะหลายรอบ เหมือนเป็นปริศนาอย่างไรบอกไม่ถูกค่ะ

แผ่นทองห่อใหญ่ที่ท่านผู้ใหญ่นำมาให้นี้ ภายในห่อนั้นมีแผ่นทองเป็นปึกตั้งใหญ่ มีทั้ง แผ่นใหญ่และ แผ่นเล็ก แต่หลวงปู่ ท่านเลือกขึ้นมาเพียง2 แผ่น โดยบอกว่า เลือกแผ่นทอง แค่ 2 แผ่น แผ่นใหญ่ กับแผ่นเล็ก มากน้อยไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่แผ่นทองที่เลือกมานี้จะใช้นำฤกษ์นำไปเป็นเชื้อเพียงเท่านี้เพียงพอแล้ว หลวงปู่บุญหนา ท่านมีเมตตามากค่ะ ขนาดว่าท่านอายุมากและอาพาธด้วยนะค่ะท่านพูดขึ้นมาว่า แผ่นทองนี้ต้องเขียนด้วยปากกาที่ไม่มีหมึก ต้องเป็นปากกาที่หมึกหมดแล้วถึงจะเขียนออกมาสวย ระหว่างนั้นทุกคนก็ไม่รู้ว่าจะไปหาได้ที่ไหนคิดไม่ออกค่ะมัวแต่ดีใจที่ท่านจะเขียนยันต์ให้ ต่างก็มองหน้ากันไปมา ดิฉันก็คิดว่า อ้าวทำไงดีจะไปหาที่ไหนดีล่ะ แล้วอยู่ ๆ ท่านก็ลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงแล้วบอกว่า อ้อ มีพอดีมีปากกาหมึกหมดอยู่ในห้องท่านยิ้มแล้วท่านก็เดินเข้าไปในห้องของท่าน แล้วท่านก็เดินกลับออกมาด้วยรอยยิ้ม แต่ก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า ต้องหาสมุดแข็ง ๆ สักเล่มให้ท่านวางเขียนจะได้เขียนออกมาดี หลวงปู่ท่านจะได้เขียนอย่างสะดวก ๆ ดิฉันก็เหลือบไปเห็นตู้เก็บหนังสือก็กำลังจะลุกขึ้นไปหยิบแล้ว ดิฉันยังไม่ทันจะลุกไปหยิบให้ท่านเลย ท่านก็ลุกขึ้นเดินไปเลือกหยิบหนังสือที่ตู้หนังสือนั้นเสียเองแล้วท่านก็เดินกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ได้ของที่ถูกใจของท่านแล้วประมาณนั้น ค่ะ หลวงปู่ท่านลงยันต์ และท่องคาถา อะไรบางอย่าง ประมาณ 5-10 นาทีนานมากค่ะท่านบรรจงจรดปากกาและวาดยันต์อย่างตั้งใจ ในตอนนั้นทุกคนตั้งใจอยู่ในอาการสงบ เงียบไม่ไหวติง และขนลุก และปิติ และอะไรต่อมิอะไร ที่บรรยายไม่ถูก ว่านี่พระอริยะสงฆ์ท่านมีเมตตาสูงกับ อ.เจน และ คุณรุ้ง ถึงเพียงนี้คงเป็นบารมีของอาจารย์อย่างแน่แท้แล้วค่ะและสำนักปฏิบัติธรรมวิปัสสนาญาณของอาจารย์ต้องพัฒนาเจริญยิ่ง ๆขึ้นไปอย่างแน่นอนค่ะ เมื่อเรียบร้อยแล้วหลวงปู่ท่านก็ได้มอบให้อ.เจน กลับมาค่ะ

หลวงปู่บุญหนา ท่านเล่าว่า ครั้งที่ท่านยังเด็กเป็นสามเณรน้อยท่านได้เห็นถึงจริยะวัตรของหลวงปู่มั่น ว่าท่านอยู่อย่างง่ายและปฏิบัติตามพระวินัยไม่บกพร่อง ที่อยู่ก็ไม่ใหญ่โตอะไร มีพระเณรมาดูแลเป็นระยะ ๆหลวงปู่พูดว่า เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้ก็เพราะได้เห็นด้วยตาไม่ใช่เรื่องที่เล่าต่อกันมา พูดแล้วก็น้ำตาจะไหล ซึ่งท่านก็น้ำตาซึมจริง ๆ ค่ะ ในวันนั้น เหล่าเทวดานางฟ้าและเทวดาประจำตัวของพวกเราท่านก็ดีใจที่ได้ไปอนุโมทนาบุญกับเราในครั้งนี้เพราะว่าการทำบุญกับพระอริยะสงฆ์นั้นหาได้ยากมาก นอกจากนี้ที่รู้มาทางวัดที่หลวงปู่อยู่ 1 ปี จะเปิดให้คนนับพันได้เข้าไปกราบท่านเพียงครั้งเดียว ในวันนั้น แม้แต่ อ.เจนยังหันมาพูดกับดิฉันว่า พี่ พี่ เทวดาประจำตัวของพี่อยู่บนหัวพี่นะค่ะท่านมาอนุโมทนาบุญกับพี่ท่านดีใจ เทวดาของหนูก็มาค่ะ มากันเยอะเลย ขนาดนั้นครอบครัวใจดีก็เดินบ่นขึ้นมาว่าทำไมรู้สึกขนลุกซู่ตลอดเวลาที่เดินตาม อ.เจน ที่จริง อ.เจนรู้แล้วว่าเป็นเพราะเทวดาท่านมาล้อมรอบตัวอยู่แต่ไม่พูดออกไปเพราะกลัวคนที่ได้ยินจะไม่เข้าใจ เพราะที่ไปในวันนั้นไม่มีใครรู้ว่านี่คือ อ.เจน ค่ะ
ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญจริง ๆ ค่ะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ค่ะจากเรื่อง ที่ดิฉันเล่ามาให้ทราบนี้ก็เพื่อให้ทุกท่านเชื่อในเรื่องของบุญว่ามีจริงและต้องขอกระซิบบอกว่า การไปเททองหล่อพระในวันที่ 22 มิถุนายน 2557นี้เรารับเพียงจำนวนจำกัด 800 คนเท่านั้น เป็นนำฤกษ์ที่ดีแล้วค่ะ ที่ได้พบพระอริยะสงฆ์ ก่อนการเททองหล่อพระแต่ทั้งนี้ อ.เจน และคุณรุ้ง ก็จะไปนิมนต์พระเกจิมาร่วมงานด้วยค่ะ นี่ก็เป็นเรื่องที่ถือนำฤกษ์ที่ดีแล้วค่ะดีใจดีใจ มีเรื่องดีดีก็มาเล่าสู่กันฟังค่ะ จบ.

|