อ.เจน ไปอินเดีย ตามรอยพระพุทธเจ้า 15-20 ธันวาคม 2556 - ห้อง จี๊ดจ๊าดเล่าเรื่อง อาจารย์เจน.com

อาจารย์เจน.com

 ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ดู: 11953|ตอบ: 39
พิมพ์หน้านี้ ก่อนหน้า ถัดไป

อ.เจน ไปอินเดีย ตามรอยพระพุทธเจ้า 15-20 ธันวาคม 2556

[คัดลอกลิงก์]

77

กระทู้

516

โพสต์

2หมื่น

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
26512
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เจนญาณทิพย์ เมื่อ 2014-1-14 15:48


อินเดีย
ใคร ๆ มักพูดกันว่า ไปทำไมอินเดีย ไม่น่าอยู่สกปรก มีแต่ขอทาน ไม่มีระเบียบสังคมแต่
ถ้าเมื่อคุณได้ไปสัมผัสความเป็นอยู่ของเขาแล้วจริง ๆ จะเห็นได้ว่าเขามีดีอยู่ในตัวของเขาเอง
แต่ถ้าจะให้มองอย่างลึกซึ้งแล้วคุณอาจจะต้องโทษตัวเองที่มองข้ามความเป็น
อารยะชนของคนอินเดียไปค่ะ

ก่อนเดินทางไปอินเดีย มีแต่คนพูดให้เข้าใจว่าที่อินเดียมีอะไรบ้างที่ต้องไปเผชิญก่อนที่จะได้ไป
กราบไหว้สถานที่สำคัญ ที่พระพุทธองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประสูติ  ตรัสรู้ ปฐมเทศนาและปรินิพพาน
ด้วย อ.เจน มีแนวคิดที่ว่าการเดินทางไปครั้งนี้เราจะมุ่งปฏิบัติธรรมไม่ใช่การท่องเที่ยวโดยไม่มีสาระไร้
แก่นสารแต่ไปด้วยว่าครั้งหนึ่งในชีวิตของเราต้องไปให้ได้พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ว่า....................
การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง   อ.เจน คุณรุ้งและดิฉัน ต่างก็มีแต่งาน งาน งาน จนลืมไปว่า
อีกไม่กี่วันจะต้องเดินทาง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็แจ้งมาว่าปีนี้หนาวมากกว่าทุก ๆ ปีที่ผ่านมาบางพื้นที่
ติดลบ แล้วพวกเราล่ะทำไงดี ระหว่างที่บ่นกันขรมอยู่นั้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่อยู่ในห้องพักแต่งตัว
ของห้องอัดรายการตัดเวรหยุดกรรมคุณไก่ (มีสุข) พิธีกรรายการคู่กับ อ.เจน ได้ยินว่าจะไปอินเดียกัน
จึงได้แนะนำให้ไปซื้อชุดกันหนาวที่ร้าน..... ยูนิโค้....ไปบอกเขาว่า...จะซื้อเสื้อผ้า...ฮีตเทค....
อ.เจน ต้องรีบไปอัดรายการต่อจึงบอกให้ดิฉันจดจำไว้ ค่ะ ดิฉันจดจำไว้อย่างดี แต่เมื่อถึงวันที่
อ.เจนกับคุณรุ้งว่างจากภารกิจต้องไปซื้อเสื้อผ้ากันหนาวกันแล้วล่ะค่ะ และก็ด้วยความโก๊ะก๋ง ก้ง
ของดิฉันอีกตามเคย จึงทำให้ อ.เจน และคุณรุ้ง ต้องลำบากใจขายหน้า 5 แต้มอีกแล้วซิค่ะ  
วันนั้นเป็นวันที่ยุ่งงานมากๆ เลยค่ะคุณรุ้งโทร.บอกว่าอยู่ที่เซ็นทรัล และถามว่าร้านขายเสื้อหนาว
ชื่อร้านอะไรน่ะพี่ด้วยความที่รีบร้อนไม่ละเอียดพอจำได้ลางๆ ทั้งที่จดโน้ตไว้ แต่ไม่ได้เปิดดูพูดด้วย
ความมั่นใจว่า อ้อ...ชื่อร้าน...โคโค้...และอย่าลืมนะคุณรุ้ง ไปบอกเขาว่าซื้อเสื้อ...ฮีตเตอร์.....
คุณรุ้งตอบขอบคุณ ประมาณ ½ ชม. เห็นจะได้ก็มีเสียงตามสายมาจาก อ.เจนว่า โถ...พี่โก๊ะ..
พี่นี่หนูทั้งขำพี่ทั้งอายคนขายของเขาค่ะพี่  อ้าว แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะ แล้วคุณรุ้งคงทนไม่ไหว
จึงชิงโทรศัพท์มาเล่าให้ฟังว่า...
โถพี่โก๊ะ... หนูเดินหาร้าน..โคโค้...จนเหนื่อยแล้วหาไม่เจอจึงไปถามเขา ว่า ร้านโคโค้
ที่ขายเสื้อหนาวอยู่ที่ไหน เขาตอบกลับมาว่า ร้าน โคโค้ไม่มีหรอกค่ะ อ.เจน (อูย...รู้จักด้วย) มีแต่ร้าน
ยูนิโค้ ค่ะ ไปทางโน้นค่ะ และเมื่อเดินไปถึงร้าน พี่รุ้ง ก็เข้าไปถามพนักงาน ว่า เสื้อ ฮีตเตอร์อยู่ตรงไหน
แต่เมื่อเห็นว่าพนักงานทำสีหน้างุนงง จึงคิดในใจว่า พี่จี๊ด อีกแล้วจึง พูดออกไปว่า ก็มันชื่อ
ฮีต...ฮีต...อะไรสักอย่าง..อะค่ะช่วงเวลาที่พนักงานก็ยัง งง งง อยู่นั้น และแล้ว อ.เจน
ก็หันไปเห็นป้าย...ฮีตเทค... อ๋อ อยู่นี่เอง โอ้ย พี่จี๊ดผิดทั้งชื่อร้านและชื่อเสื้อผ้า
ทำให้อาจารย์หน้าแตกดังเพล้ง...
ต่างคนต่างก็เล่าซะมากมายว่าที่ประเทศนี้มีทั้งฝุ่น ซากศพ ขอทาน และเชื้อโรค ช่างโหดร้ายมาก  
คุณรุ้ง จึงเตรียมความพร้อมเป็นพิเศษเพราะเป็นคนที่ป่วยง่ายกว่าใคร จึงป้องกันตัว อาทิเช่น
หน้ากากกันลมและฝุ่น  ผ้าปิดจมูกอย่างดี  หมวก ถุงมือ ผ้าเปียก ผ้าแห้งสิ่งอำนวยความสะดวก
รวมทั้งน้ำยาล้างมือ และยาชนิดต่าง ๆ จัดพร้อม ส่วน อ.เจนเตรียม แพมเพิดผู้ใหญ่ แบ่งกับดิฉันคนละ
ครึ่งผ้าถุงสำหรับนั่งห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เอาเข้าจริงเราไม่ได้ใช้ห้องน้ำที่ใหญ่ในโลกกันเลยค่ะ
เพราะดิฉันเตรียมความพร้อมหมั่นเข้าห้องน้ำและไม่ค่อยกิน
อะไรระหว่างเดินทางดังนั้น  ..ศรีจึงทนได้ค่ะ... และคิดว่าอ.เจน และคุณรุ้ง ก็คงเตรียมความพร้อม
ด้วยเช่นกัน แต่ได้เจ้าหน้ากากกันลมและฝุ่นนั้น ออกจะฮา...เมื่อเห็นคุณรุ้ง ช่างกล้าใส่ ประมาณมนุษย์กบ
ประมาณนั้น เห็นแล้ว จึงทำให้ อ.เจน และดิฉันไม่กล้าใส่มันเลยค่ะ สำหรับหมวกไหมพรหม
คุณหมวยและเพื่อนผู้ใจบุญช่วยกันถักหมวกแล้วนำมาฝากอ.เจน ช่วยแจกให้ผู้แสวงบุญและ
ถวายพระสงฆ์ในอินเดียด้วยดิฉันก็ได้อนุโมทนาบุญไปกับเขาแล้วค่ะ สรุป คณะ 3 คนนี้ซื้อของ
ใช้กันจนถึงวันสุดท้ายเชียวค่ะ และไม่ลืมที่จะซื้อยาหม่องตราลิงถือลูกท้อไปกันคนละ 6 โหล
ไปแจกคนอินเดีย เพราะทราบมาว่าหากได้ทายาหม่องตราลิงฯก็จะมีพลังของเทพเจ้าลิง
อะไรทำนองนี้ค่ะมันเป็นความเชื่อค่ะ
ระหว่างที่จัดกระเป๋าเจ้าปัดเหนี่ยวแมวเด็กเส้นของ อ.เจน ก็มากัดห่อกล่องยาหม่องตราลิงของดิฉัน
ซะกระจุย มันน่าเดี๋ยวปัดเหนี่ยวเลย เป็นคำพูดประจำบ้านไปซะแล้วค่ะ เจ้าแมวตัวนี้เป็นแมวจรจัด
พลัดหลงมา แต่เป็นแมวที่ดุร้ายชอบกัดและข่วน อ.เจน ได้รู้ด้วยญาณว่า ปัดเหนี่ยวอดีตชาติเป็น
สัปเหร่อในวัดบางพลัด ชื่อว่า ลุงประเสริฐ แต่ขณะมีชีวิตที่เป็นคนอยู่นั้นไม่ได้ทำความดีอะไรทั้งๆ
ที่อาศัยอยู่กับวัดและติดหนี้พระสงฆ์ ทำให้เมื่อเกิดใหม่จึงเป็นสัตว์เดรัจฉาน ดังนั้นเมื่อเราเกิดเป็นคน
ก็อย่าประมาทนะค่ะ

การเดินทาง   อ.เจน คุณรุ้งและดิฉัน ตื่นแต่เช้าตื่นเต้นๆ ที่จะได้ไปอินเดียกันแล้วในวันนี้
ระหว่างเดินทางโดยแท็กซี่ตอนนั้นก็ไม่มีอะไรแต่เมื่อถึงสนามบินก็รู้สึกมีอาการแปลกๆ
อยู่ดีดีก็เกิดอาการสั่นไปทั้งตัว มือก็สั้น มึนงงไปชั่วขณะ ดิฉันไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนจึงรับรู้
ได้ว่าต้องไม่ธรรมดา จึงเดินไปถามคุณรุ้ง ปรากฏว่า คุณรุ้งก็มีอาการเช่นนี้เหมือนกัน จึงขอให้
อ.เจน ช่วยเหลือหน่อย..จะเดินทางอยู่แล้วอ.เจน มองหน้าดิฉันสักพัก จึงพูดว่า พี่เบิกบุญอุทิศบุญ
ให้กับญาติของพี่ด้วยค่ะเขาดีใจอยากจะติดตามพี่ไปอินเดียไปเมืองพระพุทธเจ้าเหมือนกันอุทิศบุญ
แล้วบอกกล่าวขอให้รอก่อนค่ะรอพี่ไปทำบุญใหญ่ที่อินเดียค่ะ ดิฉันก็ทำตามคำแนะนำของอ.เจน
ไม่น่าเชื่อหายเป็นปลิดทิ้ง  นอกจากนี้ อ.เจน ยังบอกว่าได้เห็นเหล่าเทวดาประจำตัวของพวกเรา
ท่านดีใจกันมากที่จะได้เดินทางไปเมืองที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเคยประทับอยู่เพราะเหล่า
เทวดานั้นสามารถติดตามเราไปได้ค่ะ

ที่สนามบินสุวรรณภูมิเสาร์ ที่ 15 ธันวาคม 2556 วันเดินทางก็ได้พบกัลยาณมิตรทางธรรมที่เคย
ได้ไปร่วมงานบุญกับทัวร์ของ อ.เจน ทั้งหมด 27 คน ส่วน อีก 2 คน ยังไม่เคยมาร่วมบุญกับ อ.เจน
โดยมีไกด์ของบริษัททัวร์อัมรินทร์มาช่วยดูแล 2 คน ค่ะ ชื่อน้อง มิ้ง กะน้อง เบล  
อ.เจน บอกว่าพวกเราทีอดีตกับประเทศอินเดียและถึงเวลาแล้วที่เราต้องมาประเทศอินเดียด้วยกันค่ะ
และอาจารย์ได้เห็นว่า อดีตในภพชาติหนึ่งของดิฉันเป็นก็เคยคนอินเดียใส่ชุดส่าหรี่สีฟ้าชุดโชว์สะดือ
กำลังร่ายรำและถวายน้ำนม ให้กับองค์เทพที่เป็นเจ้าแม่...(ซึ่งไม่รู้ว่าเจ้าแม่อะไร)  
เมื่อย้อนไปเมื่อประมาณต้นปี อ.เจนและคุณรุ้ง ได้เล่าว่าจะไปอินเดีย กับบริษัทของอมรินทัวร์ส่วนตัว
ดิฉันก็ไม่คิดติดตามเพราะค่าตั๋วค่อนข้างแพง และ อ.เจน ไปทำงานจึงดีใจไปกับอาจารย์ด้วย
เพราะรู้ดีว่า ตัวเองไปไม่ได้เนื่องจากต้องลางานหลายวันด้วยแต่อาจารย์ก็ยืนยันและพูดว่า พี่เชื่อมั้ยว่า
พี่จะต้องไปอินเดียกับพวกหนู เพราะเห็นภาพว่าพี่จี๊ดไปอินเดียกับกับพวกหนู ซึ่งเหตุการณ์นั้นก็ผ่าน
มานานหลายเดือนและไม่น่าเชื่อว่ามาวันนี้ดิฉันกำลังเดินทางไปอินเดีย มันช่างเหลือเชื่อซะจริง ๆ ค่ะ
แต่ก็ต้องเชื่อเพราะเป็นจริงแล้วในวันนี้ดิฉันกำลังจะไปอินเดียกับอาจารย์ทั้งสอง
ก่อนออกเดินทางมานี้ คุณรุ้ง บอกว่าที่อินเดียภูตผีวิญญาณ คงมากมายพอควร ตัวพี่จี๊ด คงต้องระวัง
เตรียมพระห้อยคอไปด้วยวิญญาณยิ่งชอบติดตามพี่ด้วยซี , เรื่องแบบนี้ลืมไม่ได้ค่ะ ดิฉันได้เตรียม
พร้อมตั้งแต่ยังไม่มีใครตักเตือนแล้วค่ะจึงได้เตรียมตระกุดของหลวงพ่อจำลอง วัดเจย์ดีแดง
ชื่อเสียงตระกุดนี้ มีอยู่ว่าขมังเวทย์พอสมควร คงกะพัน มีเมตตามหานิยม สาลิกาลิ้นทองและมีสายสิน
ห่อศพสื่อวิญญาณผูกตระกุดด้วย ป้องกันภัยดีนักแลแถมด้วยหลวงปู่ทวดห้อยติ่งอีก 1 องค์ แต่ปัญหา
ที่เกิดขึ้นจากการเดินทางช่วงด่านตรวจสนามบิน ก็เรื่อง ตระกุดหลวงพ่อจำลองวัดเจย์ดีแดง นี่แหละค่ะ
ทำให้ดิฉันต้องถูกเจ้าหน้าที่ของสนามบินตรวจสอบว่า สิ่งที่ห้อยคอมานี้คืออะไรเจ้าหน้าที่ผู้หญิง
เขาไม่รู้จัก ตระกุด ขอให้ดิฉันถอดนำไปแสกนและตรวจสอบ ถามว่า อันนี้คืออะไร และข้างในเป็น
หัวกระสุนปืนหรือเปล่า โถ หัวกระสุนอันเดียวจะใช้อะไรได้ถ้าเป็นจริงดิฉันคิดในใจ แต่ไม่ได้พูด
ออกมาได้แต่ยิ้ม เพียงแต่ถามเบา ๆ ว่า ไม่รู้จักตะกรุดหรือค่ะเจ้าหน้าที่หญิงก็ไปเรียกเจ้าหน้าที่ชาย
มาช่วยตรวจดูอีกคน อุ๊ย ฮือฮามาก(โดนอยู่คนเดียว) อ.เจน ก็ยืนลุ้นคอยดูอยู่ห่าง ๆ
แต่ค่อยยังชั่วหน่อยเพราะผู้ชายรู้จักตระกุดยินยอมให้ดิฉันผ่านด่านได้ ถ้าโดนยึดตระกุดไปตายแน่
เป็นตระกุดคู่ใจซะด้วยซี
เมื่อขึ้นไปบนเครื่องบินที่ว่างเยอะแยะ  เสียงนักบินประกาศว่า การเดินทางจากกรุงเทพฯ
-เมืองคยาประมาณ 2 ชม. กว่า คณะฯออกเดินทาง 12.30 น. ถึงเมืองคยา เวลา 14.30 น.
(เวลาเมืองไทย 15.30 น.) เวลาในประเทศอินเดียช้ากว่าไทย 1.30 ชม. ค่ะ  ลงมาจากสนามบิน
ก็พบอากาศที่เย็นสบายเมื่อแหงนหน้าไปดูท่าอากาศยานเมืองคยา แล้วให้นึกถึงตึกทำงานยังไงก็
ไม่รู้มองยังไงๆ ก็ไม่เหมือนสนามบินค่ะ ต่อมาไกด์ น้องมิ้ง น้องเบล (คนไทย) และคุณปราโมทย์
(ชายอินเดียร่างสูงใหญ่ตัวดำปึดหน้าตาใจดีพูดไทยชัด) ได้นำพาไปขึ้นรถบัสคันใหญ่ขึ้นไปนั่งต่าง
ก็คุยกันและดีใจกันอยู่สักพักหนึ่ง ก็ต้องมานั่งลุ้นรถค่ะ รถบัสยังไม่ออกซะทีก็เพราะว่าสตร๊าดไปหลายรอบ
รถไม่ติดเครื่อง ลุ้นกันจนตัวโก่ง ก็ไม่ติดซะทีค่ะ จากที่คุยกันก็มานั่งลุ้นรถกันว่าจะไปไหวมั้ยหนอ  
และก็โล่งอกรถติดจนได้ค่ะ  ไก์ดน้องมิ้ง แจ้งให้สบายใจว่า รถที่นี่ ส่วนมากจะไม่ค่อยดีสะเท่าไหร่วิ่งได้ก็ดีแล้วค่ะ

ทำไมถึงต้องการไป...ประเทศอินเดีย...ท่องแดนพุทธภูมิ หากศึกษาพุทธประวัติ
พระพุทธองค์ตรังกับพระอานนท์ว่าดูก่อน อานนท์ เมื่อเราคถาคตดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว
หากกุลบุตรกุลธิดาใดมีศรัทธามีความเลื่อมใสเรา ปรารถนาจะพบเรา จงมานมัสการสังเวชนีย์สถาน
4 แห่งก็คือสถานที่เราคถาคต (1) ประสูติ  (2)ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ (3) แสดงปฐมเทศนา
และ (4) ปรินิพพาน
ถึงที่พักโรงแรม Taj Durbar Hotel – Bodhagaya  เข้าห้องน้ำ  เมื่อขึ้นรถบัสไกด์ก็ได้แนะนำ
ตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมกับแนะนำพระมหาน้อย ไกด์พระค่ะ ในวันแรกดิฉันก็ไม่ได้สนใจ
ท่านมหาน้อยรูปนี้สะเท่าไหร่ค่ะ เมื่อนั่งฟังท่านบรรยายไปเรื่อยๆก็รู้สึกเกิดศรัทธาพระท่านอย่างจับใจ
แล้วจะเล่าให้ฟังภายหลังค่ะว่าประทับใจอะไรท่านบ้างค่ะ  
ใครจะแลกเงินบ้าง...คุณปราโมทย์นำเงินรูปี มาให้แลก 1 รูปี เท่ากับ 0.80 บาท แต่คุณแหม่ม
และที่เมืองไทยให้พวกเราได้ 1 รูปี เท่ากับ 0.53 บาท
พระมหาน้อย  ระหว่างเส้นทางพระมหาน้อย ท่านบอกว่าที่อินเดียนี้เขาอยู่กันอย่างง่ายไม่มีกฎระเบียบอะไร
ตามตลาดสังเกตง่ายๆ เลยว่าสินค้าที่วางขายจะวางกันแบบ “บินกาแด..มาร์เก็ต” ก็
คือการขาย...แบ..กะ..ดิน..ไงค่ะ จากที่สังเกตก็จะมีพวกผักที่ปลูกตามฤดูกาล อาทิเช่น ถั่วแขก
  ถั่วลันเตา หัวผักกาดขาว  มะเขือยาวสีม่วง ผลไม้ ผลส้ม ฯลฯ  

แม่น้ำเนรัญชรา เมื่อข้ามแม่น้ำเนรัญชราอันเป็นสถานที่ที่นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาสแด่
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนคืนวันตรัสรู้ ที่บริเวณแม่น้ำนี้จะมีหญ้ากุสะ ที่มีลักษณะ
อ่อนนุ่มเหมือนขนนกยูง เขาเรียกว่า หญ้าพันปีค่ะ

เปรต..ที่นี่มีมากเหลือเกิน  เมื่อพระมหาน้อยบรรยายพอสมควรแล้วก็ได้ให้ อ.เจน บรรยายต่อ
อ.เจนจึงพูดเรื่องการทำบุญให้ทาน เพราะว่า ระหว่างที่ผ่านแม่น้ำเนรัญชรา อ.เจนได้เห็นเปรต..
มากมายเหลือเกินขอส่วนบุญ ซึ่ง อ.เจน ก็อุทิศบุญให้ไป ก็เป็นเพราะว่าเปรตพวกนี้ไม่เคยทำทาน
เพราะว่าเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ก็ยากจนจึงไม่มีเงินที่จะทำทานแม้แต่ตัวเองจะกินเข้าไปวันๆยังไม่มี
เมื่อตายไปจึงกลายเป็นเปรตร้องขอส่วนบุญและจะได้รับบุญจากใครได้เล่าในเมื่อทุกคนล้วน
ยากจนค้นแค้นครั้นตายไปร่างกายดับไปรับบุญรับบาป บางคนตายก่อนอายุขัย แล้วกลายเป็นเปรต  
ซึ่งก็จริงค่ะเพราะตลอดเส้นการเดินทางเราพบเจอแต่ขอทานและ
คนยากไร้เต็มถนนหนทาง  พระมหาน้อยได้บอกว่าทีเมืองนี้มีแต่คนยากจน และยากจนกว่าที่อื่นๆ
ค่ะ เพราะฉะนั้นทุกท่านก็ควรทำบุญและอุทิศบุญให้กับเปรตทั้งหลายรวมทั้งญาติของเราด้วย
บางท่านก็ไม่รู้หรกว่าแม้ญาติของเราก็เป็นเปรตเหมือนกัน แต่การอุทิศบุญให้ผู้อื่นเราก็
ต้องอุทิศบุญให้กับตัวเราด้วยเพื่อให้เราได้มีพลังก่อนที่จะไปช่วยเหลือผู้อื่นค่ะ
ที่ทุกท่านได้มาทำบุญด้วยกันนี้ก็เพราะทุกท่านได้มีดวงตาเห็นธรรมแล้วดั่งที่พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ว่า
มนุษย์เปรียบเหมือน บัว 4 เหล่านั่นเองค่ะและการปฏิบัติเจริญภาวนาแม้จะเล็กน้อยเพียงเท่าหัวไม้ขีด
ยังดีกว่าใส่บาตรจนบาตรทะลุซึ่งมีอานิสงส์มากค่ะ แต่ไม่ใช่ว่านั่งสมาธิเพียง 5 นาที
กรวดน้ำเป็นกระดาษ A4 นะค่ะ

บ้านนางสุชาดา เมื่อมาถึงบ้านนางสุชาดา จากภาพที่เห็น เป็นหมู่บ้านกระท่อมสร้างด้วยการใช้เศษ
ฟางนำมาสร้างกระท่อม หลายหลัง แต่ภาพนี้ยังไม่สะเทือนใจเท่าที่เห็นเด็กเล็ก เด็กผู้หญิง
เมื่อเห็นรถนักท่องเที่ยวผ่านมา พวกเด็กเหล่านั้นต่างก็วิ่งมาพร้อมกับชูมือทั้งสองข้าง
ด้วยสายตาอ้อนวอน เว้าวอน ประมาณว่า ขอ เถอะขอฉันเถอะ อะไรก็ได้ ให้ฉันด้วย
ฉันต้องการ อะไรก็ได้ ถ้าจะโปรดให้ก็จะขอรับทั้งนั้น  ซึ่งดิฉันอ่านได้จากสายตาที่พวก
เขาเหล่านั้นจ้องมองมามานะค่ะ

พระมหาน้อยเล่าถึงประวัติของนางสุชาดา   ซึ่งก็หาอ่านได้ในพุทธประวัตินะค่ะ  
อ.เจน สื่อเห็นภาพของนางสุชาดา ในระหว่างที่พระมหาน้อยได้เล่าเรื่องราวของพระนางอยู่นี้
พวกเราก็มายืนหยุดอยู่ที่สถานที่ที่เหมือนสถูปเก่าแก่โบราณเริ่มปรักหักพังบ้างแล้วเป็นลักษณะการ
ก่อสร้างหินคร่อมทับบ้านของนางอีกชั้นหนึ่งซึ่งเก่าแก่มากตามสภาพของกาลเวลา
ดิฉันได้สังเกตเห็น อ.เจน ยืนด้วยสมาธิน่าจะมีอะไรที่ดิฉันมั่นใจว่า อ.เจน เห็นอะไร จึงเข้าไปถามว่า
อ.เจนเห็นนางสุชาดาหรือเปล่าค่ะ  อ.เจนจึงพูดขึ้นว่า พระนางยังอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นบนท่านมา
ปรากฏให้เห็นชั่วครู่เดียวเท่านั้นท่านมีสีผิวไม่ขาวแต่มีราศีเปล่งรัศมีมีบารมีมาก ในชุดส่าหรี่สีออก
จะเหลืองทอง นางอยู่บนสวรรค์ยังไม่ได้ไปเกิดเป็นเพราะผลบุญที่พระนางตั้งใจถวาย
พระพุทธองค์นั่นเองค่ะ  และจากเรื่องราวที่ได้รับฟังจากพระมหาน้อยบรรยายดิฉันก็ต้องอึ้งแล้วล่ะค่ะ
พระนางตั้งใจทำด้วยใจเต็มร้อยเชียวค่ะ ซึ่งจริง ๆ แล้ว จะมีใครที่ตั้งใจได้ขนาดนี้ค่ะเมื่อได้รับผล
ที่ตนต้องการแล้วทั้งที่ตนเองก็รวยจนมีกินมีใช้เป็นชาติก็ไม่หมดจริงมั้ยค่ะพระนางทำด้วยใจอย่าง
แท้จริง อย่างที่ อ.เจน เคยพูดไว้การทำบุญถ้าจัดของที่เป็นเลิศ เราก็จะได้อะไร ๆ
ที่เป็นเลิศเหนือผู้คนอื่นค่ะ
1. สถานที่ตรัสรู้  ณ ต้นพระศรีมหาโพธิ์เมื่อรถจอดถึงสถานที่แล้วไกด์สาวก็ประกาศว่าทุกคนมืด
แล้วเอาไฟฉายลงไปด้วยค่ะเมื่อลงจากรถก็เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินแล้วพอดีดังนั้นบรรยากาศ
ก็มืดค่ะพระมหาน้อยท่านก็นำพาคณะมาถึงต้นโพธิ์ต้นใหญ่ส่วนที่ใต้ต้นมีลักษณะเป็นแท่นหินโดย
รอบสามารถนั่งที่โคนต้นนี้ พระมหาน้อยท่านแจ้งว่า พวกเรามากันเย็นมากจึงไม่สะดวกกันค่ะ
ระหว่างที่ทุกคนฟังคำบรรยายของพระมหาน้อยอยู่นั้น ดิฉันเห็นว่า อ.เจน หายไปไหนน้า
เมื่อดิฉันคอยลอบเมียงๆมองๆจึงได้เห็นว่า อ.เจนไปอยู่ที่ด้านหลังต้นโพธิ์ แต่เพียงผู้เดียว
ดิฉันเดินตามไปถามว่าอ.เจน แถวนี้มีอะไรค่ะ อ.เจน บอกว่าพี่ต้นโพธิ์นี้ศักดิสิทธิมากมี
เหล่าเทพเทวาพากันมาอารักข์ต้นโพธิ์ต้นนี้เป็นจำนวนมากและที่บริเวณนี้ อ.เจนบอกว่า
ตรงบริเวณนี้มีพลังบารมีมาก ให้มายืนอธิษฐานตรงนี้ดิฉันก็ทำตาม และ อ.เจน ก็นำอธิษฐาน
ทำให้พวกที่ฟังพระมหาน้อยอยู่กัน..เฮโล...พามาทางที่อ.เจน ยืนอยู่บริเวณที่
อ.เจนนำสวดมนต์และอุมิศบุญให้กับเหล่ารุกขเทวดาและสัมภเวสีบริเวณนั้นเสร็จสรรพไปในทีเดียวเลยค่ะ
  ก็เป็นปลื้มกันทั่วหน้าค่ะ ดิฉันรู้สึกว่าเราอยู่ไม่ห่างไกลจากพระพุทธองค์เลยเหมือนได้กลับ
บ้านเก่าอย่างไรก็ไม่รู้ และมีความรู้สึกปิติใจที่บรรยายออกมาจากใจไม่ถูกค่ะ
อ.เจน เดินไปรอบต้นพระศรีมหาโพธิ์และสัมผัสได้ถึงพลังบารมีของต้นโพธิ์ที่ด้านหลังต้นโพธิ์
และรับรู้ได้ว่าพระองค์ท่านนั่งทำสมาธิอยู่ที่ด้านใด จึงชี้ให้ดิฉันดูค่ะด้วยความรู้สึกขนลุกและเกิดความปิติสุข
ตื้นตันใจ อย่างบอกไม่ถูกเหมือนกับอยากจะร้องไห้ออกมาและรับรู้ได้ว่าครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงอยู่ที่
นี่และมีเหล่าเทพเทวาเป็นจำนวนมากคอยปกปักษ์รักษาบริเวณโดยรอบสถานที่แห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์มากจริงค่ะ
ดังนั้น อ.เจนจึงได้นำกล่าวขอพรจากองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทุกคนก็พร้อมใจกันเปล่งวาจาออกมา
อย่างหนักแน่นและปิติสุขค่ะอากาศก็เริ่มเย็นมากยิ่งขึ้น พระมหาน้อยท่านก็ได้นำพามายังสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งค่ะ
พระมหาน้อย เล่าต่อไปว่าหลังจากพระพุทธองค์ทรงออกผนวชได้ 6 ปี จนเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา
เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
ในตอนเช้ามืดของวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้
แห่งนี้เรียกว่าพุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดียนี้ สิ่งที่ตรัสรู้คือ อริยสัจสี่
เป็นความจริงอันประเสริฐ 4 ประการของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ต้นมหาโพธิ์
และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ฌานที่ 4 แล้วบำเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ฌาน 3 คือ
                                      ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ " คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่นได้
                                      ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของ
สรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยการมีตาทิพย์สามารถเห็นการจุติและอุบัติของวิญญาณทั้งหลาย
                                      ยามสาม เป็นยามสุดท้าย : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย
อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
                                      ในคืนวันเพ็ญเดือน6
อ.เจน...สอนสมาธิ...จากการสื่อกับรุกขเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์   อ.เจน ได้บรรยายว่า
ที่ต้นโพธิ์เมื่อคืนนี้ อ.เจน ได้เห็นด้วยตาทิพย์ว่า รุขเทวดามานั่งสมาธิกันที่ต้นโพธิ์ใหญ่นี้
ซึ่งท่านได้อยู่ที่นี่มาช้านาน..นานแสนนาน..นานมาก  จึงได้ใช้จิตถามไปว่าการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง
ที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถือปฏิบัติอยู่นั้นเป็นเช่นไรก็ปรากฏมีเสียงตอบกลับมาในสมาธิจิต
ป็นเสียงของผู้ชาย ซึ่งน่าจะเป็นรุกขเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อะไรก็ได้ไม่แน่ใจ พูดขึ้นว่า
“การกำหนดลมหายใจ....ให้เธอรู้สึกตัวทุกเมื่อว่า...เธอหายใจเข้าและ....ถ้าเธอหายใจออกก็ให้รู้ว่าหายใจออก”
ซึ่งก็ตรงกับที่เสียงที่มาสอนอ.เจน สมาธิ ว่า “หายใจเข้าก็รู้ว่าเรากำลังหายใจเข้าหายใจออกก็ให้
รู้ว่าเรากำลังหายใจออก” โดยให้ดูเพียงลมหายใจไม่ให้ไปดูอย่างอื่น..ค่ะ...ทดลองดูซิค่ะ
พระเจดีย์พุทธคยา ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อรถจอดถึงสถานที่แล้วไกด์สาวก็ประกาศว่าทุกคน
ให้ถอดรองเท้าจากรถเลยค่ะ ทุกคนน่าจะมีถุงเท้าใส่มาด้วยน่ะค่ะเพราะเส้นทางที่พวกเราจะต้อง
เดินผ่านไปนั้น จะมีทั้ง.....และน้ำลาย ทั่วบริเวณพื้นเดินก็ต้องระวังด้วยนะค่ะ ทุกคนก็ทำตามที่
หัวหน้าไกด์แนะนำค่ะ แบ่งเป็น 2 กลุ่มผู้ชายให้เดินตามพระมหาน้อย (ชาย 4 คน)
ผู้หญิงเดินตาม อ.เจน (หญิง 23)แหมช่วงแถวช่างแตกต่างจังค่ะ ผู้คนมากมายดิฉันยังคิดในใจ
จะนั่งกันตรงไหนน้าแต่ก็เหมือนดั่งเช่นทุกครั้งที่ไปกับ อ.เจน มันช่างเหมาะเจาะอะไรอย่างนี้
อยู่ ๆคนก็ลุกไปไหนกลุ่มเรามานั่งแทนที่ได้เลย ทางบริษัททัวร์เขาก็แจกผ้าพลาสติกให้รองนั่งคนละผืน
หนังสือสวดมนต์และเชิงเทียน เมื่อนั่งกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เห็นพวกคนกลุ่มอื่น ๆที่นั่งข้าง ๆ
เขาก็สวดแบบของเขา เราก็นั่งสำรวมกันอยู่ จนพระมหาน้อยบอกให้พวกเราทุกคนนมัสการพระ
แท่นวัชระอาสน์และต้นพระศรีมหาโพธิ์  ซึ่งพระท่านให้พวกเราพยามจ้องมองให้จดจำภาพของ
พระแท่นวัชระอาสน์และต้นพระศรีมหาโพธิ์  แล้วจึงเริ่มสวดมนต์  นั่งสมาธิ และ เดินประทักษิณา
เดินเวียน 3 รอบ พร้อมกับการสวดมนต์บทพระพุทธคุณพระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ
แล้วกกลับมานั่งขอพรตามคำพูดของพระมหาน้อยค่ะ คืนนี้เหนื่อยมาจากการเดินทาง
และกิจกรรมก็เห็นสมควรแก่เวลาแล้วกลับที่พักค่ะ

อ.เจน เมื่อได้นั่งสมาธิใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ได้เห็นในสมาธิว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ได้อยู่ ณ ที่แห่งนี้
เมื่อได้รับฟังก็เกิดความรู้สึกที่สุขใจเป็นอย่างยิ่งนักค่ะ การตั้งใจมาปฏิบัติธรรมในครั้งนี้เป็นความประทับใจ
ไม่รู้ลืมเลยค่ะว่าครั้งหนึ่งเราได้มาถึงดินแดนที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนให้มนุษย์โลกเชื่อเรื่องบุญและบาป
ค่ะเช้าวันรุ่งขึ้นเราก็ได้มาปฏิบัติธรรม ณ ที่แห่งนี้อีกครั้งค่ะ
พระพุทธเมตตาซึ่งเป็นพระประธานในพระเจดีย์พุทธคยาที่อยู่คู่กันกับต้นพระศรีมหาโพธิ์มี
พระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความเมตตาเสมือนหนึ่งเป็นตัวเเทนแห่งการระลึกถึงพระเมตตาคุณของ
พระพุทธองค์ที่เมื่อทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ได้เมตตาโปรดสั่งสอนไวนัยสัตว์
ทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายให้ได้รู้ตามคำสั่งสอนของพระองค์ซึ่งได้ผ่านกาลเวลามายาวนาน
จนเป็นหนึ่งในจุดหมายของการเดินทางจาริกธรรมแสวงบุญของพุทธศาสนิกชนทุกสารทิศ
เมื่อเห็นว่าเวลาพอสมควรแล้วพระมหาน้อยก็ให้เดินทางกลับกันเพราะพรุ่งนี้ก็มาใหม่อีก
เพื่อห่มผ้าพระพุทธเมตตาร่วมกันค่ะ

อาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2556
ผ้าห่มพระพุทธเมตตา อ.เจน และคุณรุ้งมีความตั้งใจมากที่จะมาห่มผ้าให้พระองค์ท่าน
ด้วยการสั่งทำผ้าห่มพระเป็นพิเศษทำด้วยมือถักทอด้วยลูกปัดสีทองสลับกับคริสตรัลสีน้ำทะเล
งามจับตาแวววาวมากราคาค่อนข้างแพง ดิฉันและศิษย์บางคนก็ได้ร่วมปัจจัยตามกำลัง
คนละเล็กคนละน้อยค่ะเพราะราคาสูงมาก ดังนั้นเจ้าภาพก็ใช้เงินส่วนตัวเพื่อบุญใหญ่
และความตั้งใจที่สูงมากอานิสงส์จึงมากตามความตั้งใจของอาจารย์นะค่ะ
เช้านี้พระมหาน้อย ท่านให้เดินเป็นแถวตามระเบียบ ซึ่งสถานที่แห่งนี้เมื่อเดือนกรกฎาคม2556
ที่ผ่านมา เกิดมีเหตุระเบิดขึ้นที่นี่เป็นข่าวใหญ่ครึกโครม ทำให้ต้องมีมาตรการตรวจสอบเป็นพิเศษ
โดยมีข้อห้าม คือ ห้ามนำมือถือเข้าไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น  แต่สามารถนำกล้องไป
ได้แต่ต้องเสียเงินค่านำกล้องเข้าไป 100 รูปี ดังนั้น จึงมีการตรวจค้นเข็มข้นสักหน่อยค่ะ
แต่เข็มข้นอย่างไรดิฉันก็นำเข้าไปได้ค่ะ ส่วนคนอื่นๆต้องฝากไกด์ดูแลให้ค่ะ
ซึ่งก็คุณปราโมทย์นั่นแหละที่แบกมือถือของทุกคนค่ะ  
ต้องเดินเข้าไปในห้องมืดที่ใช้ผ้าดำเป็นม่านประตูเจ้าหน้าที่หญิงอินเดีย 2 คน ก็ช่วยกันตรวจค้น
เธอก็ช่วยกันลูบคลำไปทั่วทั้งตัวทั้งหน้าและหลังเหมือนตรวจค้นอาวุธถ้าคนบ้าจี้มีฮาแน่ค่ะ
และก็สักถามสิ่งที่อยู่ในถุง นี่อะไร นี่อะไรทำหน้าเข็มเชียวค่ะ แต่ดิฉันเอามือถือไว้ในสมุดสวดมนต์
ยิ้มหน้าตายในใจก็คิดจะเปิดสมุดฉันมั้ยน้า และเขาก็ส่งคืนให้ค่ะ พอผ่านด่านมาได้เหมือนเด็ก
ที่โกหกแล้วชนะนะค่ะสนุกดีค่ะ
เมื่อทุกคนพร้อมกันแล้วพระมหาน้อยก็นำพาไปสถานที่ประดิษฐานพระพุทธเมตตาก็ประดับประดา
ด้วยดอกไม้สวยงามตลอดเส้นทางเช้านี้มีผู้คนมากมายเดินกัน ควักไขว้บันไดหลายขั้น
พระมหาน้อยให้ อ.เจน เป็นประธานถือผ้าห่มพระ โดยชูขึ้นเหนือศีรษะ แล้วให้ทุกคนยืนต่อด้านหลัง
ของอ.เจน นั้น พวกชาวบ้านชาวเมือง และชาวต่างชาติที่มาสักการะบูชา ณ สถานที่แห่งนี้ต่างก็มอง
กันเหลียวหลังเชียวค่ะ  เมื่ออ.เจน เดินนำขบวนด้วยก้าวอย่างช้าช้าที่ละก้าว ก้าวไปพร้อมๆ
กันทุกคนก็เปล่งเสียงสวดบทอิติปิโส ไปเรื่อย ๆ จนถึงที่หน้าประตูหากได้มีการถ่ายภาพความประทับใจ
นี้คงจะสวยงามและปราบปลื้มเป็นอย่ามากแต่เขาไม่ให้ถ่ายรูปบริเวณนี้ค่ะ เมื่อถึงหน้าธรณีประตูวิหาร
พระพุทธเมตตาแล้ว จึงหยุดเสียงเพื่อไม่ให้เกิดก่อความลำคราญด้วยเสียงของคณะเรายืนกำหนดจิต
จ้องไปที่พระเนตรของพระพุทธเมตตา ผู้คนเริ่มทะยอยออกไปแล้วจนเหลือแต่พวกเราเพราะภายใน
วิหารนี้ภายในค่อนข้างคับแคบไม่ใหญ่โตเท่าใดซึ่งสามารถจุคนได้ประมาณ50 กว่าคนเท่านั้นค่ะ
แต่เมื่อคณะเรามากันเป็นขบวนสะขนาดนั้น ใครๆ ก็ถอยค่ะ เราเดินเข้าไปอย่างระเบียบเรียบร้อยจนใน
ที่สุดคณะของเราก็ยึดพื้นที่ภายในจนหมดแล้วดังนั้น หากใครจะเข้ามาเขาต้องรอให้เราทำภารกิจจน
เสร็จพิธีเสียก่อน ผู้คนที่เข้ามากราบไหว้ก็มีหลากหลายชาตินะค่ะที่วิหารนี้จะมีพระสงฆ์รูปหนึ่งท่านมี
หน้าที่รับถวายผ้าและเป็นตัวแทนห่มผ้าพระพุทธเมตตาให้กับพวกเราด้วยค่ะ  ถึงขั้นตอนนี้พระมหาน้อย
ก็เดินบอกกกว่าวกับ อ.เจนว่าให้โยมเจนเป็นผู้นำกล่าวและเป็นผู้นำถวายเพราะพระมหาน้อยพูดว่า
อาตมาเทศน์บรรยายพระพุทธประวัติได้ แต่พิธีการต่าง ๆต้องเป็น อ.เจน อาตมาไม่ถนัดเรื่องอย่างนี้
ขณะนั้นอ.เจน ก็บอกว่าให้จ้องที่พระเนตรของท่านและอธิษฐานจิตขอพร เพราะท่านมีเมตตามากคุณรุ้ง
ก็หันมากระซิบว่าพี่เราต้องช่วยกันอธิษฐานเรื่องชมรมวิปัสสนาญาณให้สำเร็จในเร็ววันนะค่ะซึ่งดิฉันก็
ปฏิบัติตามทันทีแต่ขอแถมว่าขอให้การปฏิบัติธรรมเจริญภาวนาของดิฉันจงพัฒนายิ่งขึ้นๆตัวดิฉันไม่
เคยขออะไรให้กับตนเองด้วยความโลภเลยขอด้วยบุญทุกครั้ง เพราะ อ.เจนมักสอนเสมอว่า
อย่าทำบุญด้วยความโลภในส่วนของตนเองค่ะเพราะถึงเวลาเขาจัดสรรให้เองมาเองไม่ต้องขอค่ะ
และเมื่อเสร็จภารกิจแล้วดิฉันก็เหลือบไปเห็น อ.เจน น้ำตาคลอหน่วย และยิ้มกับดิฉันและพูดด้วย
ความดีใจตื่นเต้นว่า พี่ๆ ชมรมปฏิบัติธรรมจะสำเร็จในเวลาอีกไม่นานแน่ ๆค่ะ และก็เล่าให้คุณรุ้ง
ฟังด้วยว่า อ.เจนได้อธิษฐานขอให้ซื้อที่ดินได้และขอให้ประสบความสำเร็จในการสร้างสถานที่
ปฏิบัติธรรมในเร็ววันซึ่ง อ.เจน รู้ได้ในจิตว่า ทำได้อย่างแน่นอน เพราะ ระหว่างอธิษฐานสิ่งที่ไม่
เคยเกิดขึ้นกับตัวของ อ.เจน มาก่อน คือ เกิดอาการสะดุ้งจนสุดตัวเมื่ออธิษฐานเสร็จค่ะ และรู้ได้
ด้วยว่าต้องเป็นอย่างนั้นดิฉันก็ดีใจไปกับอาจารย์ด้วยค่ะ เพราะดิฉันก็มีแรงน้อยๆที่จะช่วยได้
ตราบเท่าที่ชีวิตจะอยู่ได้ซึ่งไม่นานค่ะ
ขณะกำลังจะเดินออกจากสถานที่นั้นคุณแหม่ม (บก.อัมรินทร์) ก็ร้องให้เสียน้ำตาเต็มหน้า น้องเบิร์ด
ก็ตกใจรีบมาสะกิดบอกพี่จี๊ดๆเพื่อนพี่เป็นอะไรไม่รู้ร้องไห้ใหญ่เลย ดิฉันถามคุณแหม่มในภายหลังว่า
เกิดอะไรขึ้นคุณแหม่ม บอกว่า ขณะที่พระท่านห่มผ้าองค์พระพุทธเมตตาอยู่นั้น พลันก็ปิติใจอย่าง
บอกไม่ถูกมโนภาพไปประหนึ่งว่าตนเองเป็นผู้ห่มผ้าผืนนั้นด้วยตนเอง จึงกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
และร้องไห้ออกมาคุณแหม่มคิดว่า นี่เรามาห่มผ้าให้พระพุทธเมตตาด้วยตนเองด้วยหรือนี่
เมื่อเข้าใจกันแล้ว ก็ออกเดินทางไปต่อค่ะ

วัดไทยพุทธคยา  เป็นวัดหลวงแห่งแรกของไทยในประเทศอินเดีย เริ่มสร้าง ปี 2500พระราชโพธิวิเทศ
เป็นเจ้าอาวาส กว้างขวางสวยงาม สะอาดสะอ้านดิฉันก็ได้มอบหมวกสีขาวที่คุณหมวยถักมาให้ถวายแม่ชีไปค่ะ
ที่วัดนี้มีพระภิกษุและอุบาสกอุบาสิกามาปฏิบัติธรรมไม่มากนักอ.เจน และคุณรุ้ง นำผ้าไตรจีวร และหมวกถัก
ด้วยมือที่คุณหมวยกับเพื่อช่วยกันถักรวมทั้งปัจจัย ถวายเป็นสังฆทาน พร้อมฟังธรรมจากพระภิกษุสงฆ์
(ไม่ใช่เจ้าอาวาส)ท่านเทศน์ได้กินใจมากเรื่องที่เกี่ยวกับศีล 5 ข้อ จะกลับอยู่แล้ว ก็ปรากฏว่าลูกศิษย์มาแจ้ง
ว่าท่านเจ้าอาวาสท่านจะแจกพระให้ทุกคน ให้เดินไปรับที่ด้านล่างเมื่อกราบลาพระรูปนี้แล้ว ก็ลงไปด้านล่าง
เจ้าหน้าที่เขาจัดเก้าอี้ให้นั่งอย่างเป็นระเบียบ  สักพักหนึ่งท่านเจ้าอาวาสท่านก็เดินมาท่านก็ได้เชิญชวน
ให้มาปฏิบัติธรรมที่อินเดียวค่ะซึ่งท่านก็ได้มอบพระที่ท่านเก็บไว้นานไม่ให้ใคร แต่งานนี้นำมาแจกแก่คณะของ
อ.เจนส่วน อ.เจน ท่านมอบ Baby Buddha ให้กับ อ.เจน 1 องค์ เป็นสีทองสวยงามมาก
และแจกมะขามคนละซองนอกจากนี้ท่านก็ให้ อ.เจน เดินไปที่เรือนพักรับรองผู้มาปฏิบัติธรรม  อ.เจน
บอกว่าสวยงามสบายเหมือนบ้านพักรีสอร์ทเลยค่ะ
พระมหาน้อย ท่านมาเฉลยภายหลังว่าท่านเจ้าอาวาสต้องการพบ อ.เจน เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงเรื่อง
นำพาคนปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ท่านได้ตั้งใจด้วยเช่นกัน  
(รู้มาจากผู้อื่นว่าท่านมีภารกิจมากจะลงมารับผู้มาเยือนที่สำคัญๆ) แต่ด้วยเป็นพระก็ยากที่หาเหตุใดมาพูดคุยด้วย
พระมหาน้อยท่านเป็นคนฉลาดท่านบอกว่า ก็จะยากอะไร หาเรื่องไปแจกของเขาก็หมดเรื่องเรื่องมันเป็นอย่างนี้เองค่ะ
ซึ่งท่านก็มีเมตตามาก กำลังจะเดินออกไปแล้วเด็กวัยรุ่นเป็นลูกศิษย์ของท่านเจาอาวาส
เข้ามาสวัสดี อ.เจนบอกว่าดีใจมากที่ได้พบตัวจริงครับ ผมเห็นแต่ในโทรทัศน์ครับไม่คิดว่าจะ
ได้มาพบตัวจริงที่อินเดียครับ  
รับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรมที่พักเมื่อคืนนี้และเดินทางต่อไปเมืองพาราณสี ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง
ตั้งอยู่ในแคว้นอุตตรประเทศเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งในโลกเมืองนี้มีแม่น้ำ 2 สายไหลผ่าน คือ
แม่น้ำวรุณา และแม่น้ำอัสสีใช้ชื่อแม่น้ำมารวมกันจึงชื่อ วาราณาสี และเป็นพาราณสี
พระมหาน้อยท่านบรรยายในระหว่างเดินทางโดยกล่าวว่าการที่เรามาอินเดียที่ใครเขาว่าช่างยากลำบาก
แต่เราไม่ย่อท้องไม่หวาดหวั่นนั่นคือเราลงทุนด้วยกาย และเราลงทุนด้วยใจด้วยการสรรเสริญคุณของ
พระรัตนตรัยจะเป็นนะโม ตัสสะฯๆๆ...หรืออิติปิโส..ฯ ไปเรื่อย ๆเราก็จะไม่รู้สึกเบื่อยังได้สวดมนต์
อีกด้วยท่านว่าอย่างนั้นซึ่งก็จริงของท่านนะค่ะ
มหารานี...มหาราชา...... ถ้าคุณให้เงินขอทานท่านจะเป็นมหารานี และมหาราชาไปในพริบตา
พวกเขาก็จะตะโกนว่า มหารานี (หญิง) มหาราชา (ชาย) ขอทานมากมายมีทั้งชาย หญิง คนแก่คนพิการ
เด็กเล็ก เวลาดินต้องดินเกาะกลุ่มกันไม่งั้นเขาจะมารายล้อมจนเดินไปไม่ได้เพราะว่าพวกเขามากกว่าเราค่ะ
พระมหาน้อยเล่าว่าอาตมาเคยให้ขอทานที่พิการยังไม่ทันเดินคล้อยหลังไปเลยก็มีขอทาน
มีกำลังเหนือกว่ามาเหยียบหัวขอทานที่พิการชิงเอาเงินไปหรือบางทีเห็นเขานอนหนาวทุกวันอด
สงสารไปซื้อผ้าห่มนำมาห่มให้เขาอีกไม่กี่วันเขาก็เอาผ้าห่มไปขายเพื่อซื้อข้าวกินมันเป็นวิถีของเขาค่ะ
คุณท่องอิติปิโสภะคะวา....เก่งแค่ไหนเด็กอินเดีย พอเห็นคนไทยจะเดินขึ้นรถบัสเขาก็จะเข้าแถว
แบ่งเป็น 2 ฝั่ง  แล้วก็ร้องพร้อม ๆ กันว่า อิติปิโส ภะคะวาอะระหังสัมมา สัมพุทโธ......
เขาเห็นว่าเป็นคนไทยใจพุทธศาสนา เขาก็ร้องเอาใจเราให้เราเมตตาพวกเขาซึ่งก็ได้ผลนะค่ะ
เห็นแล้วอดสงสารไม่ได้จริง ๆ ค่ะ
อย่าทำเป็นอยากได้  เมื่อเราจะลงจากรถพวกที่ตื้อขายของก็จะตามตื้อเพราะเขามองเห็นแววตา
อยากได้ของเราตั้งแต่มองเขาแล้วดังนั้นพวกเขาจะตามตื้อคุณไปทุกหนทุกแห่งและอย่าเดิน
คนเดียวจะโดนลุมหรืออยู่ในกลุ่มวงล้อมของเขาไปเลยค่ะ
ห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก วันนี้คาดว่าต้องลำบากเรื่องห้องน้ำอย่างแน่นอนถ้าไม่ควบคุม
ตัวเองให้ดีคงต้องเข้าห้องน้ำแบบเปิดโล่ง “ห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก”อย่างแน่นอนค่ะ
แต่ก็ได้เตรียมตัวมาพร้อม คือ ผ้าถุง (เอาไว้สวมเพื่อถ่ายทุกข์) เมื่อขึ้นรถบัสที่เปลี่ยนมาแล้ว3 คัน
ไกด์ บอกวาไม่ต้องกังวลรถคันนี้ใหม่เอี่ยมไม่เสียแน่นอนค่ะแหมใหม่ของเขาออกจะ...
โบร้าน...โบราณ พร้อมกับแนะนำว่า ถ้าใครปวดถ่ายทุกข์ขอให้ชูมือขึ้นมาทำสัญลักษณ์
(ปวดเบา...ให้ชูนิ้วก้อย...ปวดหนัก...ให้ชูนิ้วโป้ง....แต่ถ้าทั้งเบาและหนัก....ให้ชูนิ้ว....คาราบาว)
เพื่อจะได้จอดรถให้เข้าห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ค่ะ  
และแล้ว ก็ได้เห็นคนที่ทนไม่ไหว ยกนิ้วชี้คนๆ นั้นก็คือ น้องฝน ซึ่งก็น่าจะมีอีกหลายคนแต่ไม่กล้ายกนิ้ว
แสดงสัญลักษณ์เธอเป็นผู้กล้าจริง เมื่อไกด์รับทราบแล้วจึงบอกพนักงานขับรถซึ่งพนักงานขับรถก็ยัง
ไม่จอดเพราะต้องหาจังหวะดีดีสำหรับความคิดของอีตาโชว์เฟอร์แก  แต่แกหาจังหวะนานมากไป ½ ชั่วโมง
ผ่านไปแล้วยังไม่จอดเลยถนนก็ขรุขระด้วยดินแดงและฝุ่นช่างผสมผสานบรรยากาศมันได้จริงๆ
ค่ะ ทั้งปวดเบา ทั้งรถกระแทกคงทรมานน่าดู แต่ที่รู้ๆ น้องฝนหน้าเขียวแล้ว ดิฉันจึงบอกไกด์ว่านี่หา
ที่ทางนานไปหรือเปล่า ค่ะ สงสารน้องเขาซึ่งก็เป็นผลทันทีที่ไกด์แจ้งพี่โชเฟอร์ แกเหยียบ 4x100
ซึ่งครั้งแรกของแกนะเนี้ยน้องฝนก็บอกไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ คนในรถก็ตะโกนว่า ไม่ต้องรีบๆๆ
ก็ได้เพราะถนนหนทางที่นี่ไม่มีกฎระเบียบจราจรอะไร จะวิ่งยังไงก็ได้ใช้เสียงแตรไล่อย่างเดียว
ก็ไอ้เจ้าเสียงแตรรถนี้มันน่าลำคราญมากรถข้างหน้าอยู่ตั้งไกล ก็บีบแตร อะไรๆ ก็บีบแตร
เสียงดังน่าลำคราญมาก บีบทุกๆ 2วินาที จนคุณแหม่มบอกว่า พี่ๆ ไปจ้างให้เขาหยุดบีบแตรกันมั้ย
ปวดหัวพระมหาน้อยก็เห็นเราคุยกัน ท่านจึงสอนว่าทุกอย่างต้องอดทนและใจเย็นเพราะคนที่นี่เขา
ไม่โกรธกันเลยไม่เคยเห็นคนอินเดียวตบตีทะเลาะกันเลย เขาสอนคนของเขาดี เขารู้จักให้อภัยกัน
อ๋อทนต่อไปเข้าใจค่ะ กว่ารถจะได้จอดก็ปาเข้าไป 45 นาทีโดยประมาณ คุณฝนคว้าผ้าถุงประจำ
กายวิ่งออกไปก่อนเชียวค่ะคงสุดสุดอย่างแน่นอน  โชคดีที่ อ.เจน คุณรุ้ง และดิฉัน ควบคุมตนเอง
มาดีไม่ได้ลงแต่พระมหาน้อยท่านนึกว่าอายจึงไม่กล้าลงไป แต่ไม่ใช่ค่ะ ไม่ปวดค่ะ  
ล่องชมแม่น้ำคงคา....แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู......ระบำพุทธชยันตี  เวลานั้นฟ้ามืดแล้ว
ดิฉันได้เห็นพระจันทร์แสนสวยพร้อมกับบรรยากาศที่หนาวมาก ๆ ไกด์ ได้แจ้งให้ทุกคนใส่ผ้าปิดปาก
  ไฟฉาย ตอนนี้อากาศเริ่มหนาวมากขึ้น อ.เจน คุณรุ้ง และดิฉันรวมทั้งคนอื่นๆทำเหมือนกันค่ะ
คือ ใส่ถุงมือ สวมหมวก สวมหน้ากาก  ไฟฉายในมือคนละกระบอกเพราะพวกเราต้องเดินจากรถ
บัสไปลงเรือก็ระยะทางนานพอสมควร ซึ่งต้องเดินฝ่าความมืด(ที่นี่ไม่มีไฟ) ฝ่าฝุ่นละอองที่มวลขึ้น
ใบหน้าของพวกเราทุกคนและที่พื้นก็เป็นทรายละเอียดที่ทุกคนเดินไปเต๊ะฝุ่นขึ้นมาอวลอยู่ที่หัว
ของเราเมื่อมาถึงท่าน้ำ พระมหาน้อยก็แจ้งทุกคนว่า เดินระวังทุ่นระเบิดนะเขาวางกันไว้เยอะเลย
หรือใครจะไปนั่งยองตรงไหนก็เชิญ เพราะมันมืดมากไม่เห็นกันหรอกและคนที่นี่เขาทำกันทั้งนั้น
เป็นเรื่องปกติขออย่าเอาไฟไปฉายเขาก็แล้วกันนะเดี๋ยวจะหาว่าไม่บอก  นี่พระท่านก็ย้ำเตือนแล้ว
แต่ก็พลาดจนได้เมื่อต่างคนต่างก็เริ่มเดินแยกกลุ่มออกไปไกลแล้วในความมืดนั้นก็มีพระจันทร์ดวง
กระจิ๋วไม่มีแสงสว่างเท่าใดเพราะว่ามีหมอกปกคลุมชั้นบรรยากาศที่หนาวบวกกับสายลมที่เย็นยะเยือก

พลาดกันจนได้ เมื่อเราเดินฝ่าความมืดแยกกันเป็นกลุ่มย่อย ๆ ก็มี อ.เจนคุณรุ้ง และดิฉัน
เดินกัน 3 คน พวกเราก็ฉายไฟลงที่พื้นเพื่อป้องกันว่าเราจะไปเหยียบทุ่นระเบิดที่คนเขามาว่างไว้
จนเพลินและลืมไปแล้วที่พระมหาน้อยท่านเตือนสักครู่ แต่เมื่อเดินต่อไปเรื่อย ๆพวกเราก็เห็นเงาดำ..ตะคุ่มๆ
อยู่ที่เบื้องหน้า อะไรหว่า ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรมากด้วยความสงสัย คุณรุ้ง จึงส่องไฟฉายไปที่เงาตะคุ่มๆ นั้น
ทันใดนั้นเองโอ้...ตกใจกันมาก มากเหลือเกิน  ตอนนั้นเจ้าของเงาที่ถูกไฟฉายก็ตกใจไม่แพ้เราหรอก
ค่ะนั่นก็ไม่ใชใครที่ไหน คุณปราโมทย์ ไกด์ชายอินเดีย กำลังยืนปัสสวะหันหน้ามาทางเราเสียด้วยซี
เลยต้องทำมึนเดินผ่านทำเป็นไม่เห็นๆนะเราไม่เห็นอะไรเลย เพียงแสงไฟไปโดนเองน่ะ
เราไม่รู้เรื่องโห...เครียด..จริ้ง
ลอยกระทง...ในแม่น้ำคงคา...  พระมหาน้อยได้นำพาให้พวกเราลงเรือ และบรรยายต่อไป
เมื่อทุกคนอยู่บนเรือ ไกด์ก็แจกกระทงน้อยให้พวกเราลอยกันค่ะ กระทงนี้ทำง่าย ๆ ค่ะ
ด้วยวิธีการนำใบของต้นสาละแห้งแล้วนำไปแช่น้ำเพื่อให้อ่อนนุ่มวางลงภาชนะถ้วยเล็ก ๆขนาดพอดีฝ่ามือ
ใบสาละก็กลายจะเป็นรูปถ้วยตัดขอบเหมือนถ้วยแล้ววางด้วยเทียนไขอันเล็กๆ ใส่ดอกดาวเรืองลงไปพอ
ดีถ้วยค่ะแค่นี้ก็ดูสวยงามและลอยน้ำได้แล้วค่ะ พระมหาน้อยได้นำพาสวดมนต์ และให้ อ.เจนนำอธิษฐานจิต
และต่างคนตางอธิษฐานของตนเอง เป็นภาพที่สวยงามมากกระทงน้อยลอยไปกับสายน้ำ สว่างไสว
โดยไม่มีดับ เพราะไม่มีเด็กมาเก็บกระทงไงค่ะ
พิธีบูชาไฟ..หรือ..พิธีอารตี....เป็นพิธีกรรมเพื่อขอพรจากพระผู้เป็นเจ้าเพื่อมอบความสุขและความ
โชคดีให้แก่ผู้บูชา เป็นการร่ายรำที่สวยงามมากค่ะพวกเธอเหล่านั้นจะเต้นกันอย่างพร้อมเพรียงกัน
จึงดูสวยงามก็มีนักท่องเที่ยวล่องเรือดูพิธีกันเหมือนกับเราของพวกเราก็มาจอดคอยท่าดูอยู่เหมือนกันค่ะ
ระหว่างนั้นก็มีพวกพ่อค้ามาขายปลาค่ะ
เครื่องพลี หรือเครื่องบูชาไฟ ประกอบด้วยน้ำนม เมล็ดข้าว เนยแข็ง เหล้า ดอกไม้ และหญ้าคา
โดยจะนำอาหารเหล่านี้ใส่ลงไปในกองไฟพร้อมกับสวดสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
ปล่อยปลา.....มั้ยจ้า.....เหลือชุดสุดท้ายแล้ว....ไม่มีแล้ว......พ่อค้าขายปลาพูดไทยได้บ้างเล็กน้อย
ค่ะเขารู้เสียด้วยว่าคนไทยชอบปล่อยปลา อ.เจน กับดิฉันก็มองหน้ากันว่าดีน่ะค่ะอาจารย์เรามาปล่อยปลา
กันดีกว่าค่ะ แต่ดิฉันไม่เชื่อว่าจะมีชุดสุดท้ายเขามาทั้งทีจะมีปลาชุดสุดท้ายได้อย่างไร เขาก็ยืนยันว่าสุดท้าย
แล้วแต่เราก็รู้ว่าเขาโกหก ด้วยความอยากปล่อยปลาเอาบุญก็ไม่สนใจว่าเขาจะหลอกอะไรในกระป๋องมีปลา
ประมาณ 7-8 ตัว เขาบอกว่า 200 บาทไทย ดิฉันว่าแพงไปไม่ซื้อเขาก็ตื้อๆๆๆ เราก็วางเฉย อ.เจน
ก็ต่อไปว่า 100 บาทเขาเห็นว่าตื้อนานแล้วเสียเวลาก็ OK OK เราก็จ่ายเขาไป อ.เจน คุณรุ้ง และดิฉันก็เอา
กระป๋องปลานั้นมานั่งอธิษฐานปล่อยปลา เมื่อทุกคนเห็นก็ถามว่าซื้อที่ไหนเราก็ชี้ไปที่เรือพ่อค้าขายปลา
แหม มันกำลังขายให้กับคนในเราเราอยู่นั้นตั้งหลายประป๋องน้องเบิรด์ วิ่งไปซื้อมาบ้างบอกว่า 100 บาทไทย
เหมือนกับ อ.เจน นะครับแต่น้องเขาแปลกใจว่า เอะ เมื่อตะกี้ในกระป๋องของ อ.เจน มีตั้งหลายตัวของ
น้องเบิร์ดมีแค่ 4 ตัวเอง พวกเราก็หัวเราะกันว่า ดูมัน บอกว่า มีชุดสุดท้าย หนอย..แน้..
ปลามีอีกตั้งเยอะแถมราคา 100 บาท หัก ปลา ออกไปครึ่งหนึ่ง เหลือ 4 ตัว ก็เท่ากับ
กระป๋องละ 200 บาทนั่นแหละ ไม่ได้ลดราคาให้กับคนต่อรองเล้ย  ที่คำโบราณว่าไว้
“จะตีงูให้ตีหัวแขกก่อน” เห็นจะเป็นจริงนะค่ะ คำๆนี้
ไฟที่ไม่มีวันดับ...กับ...ศพที่รอคิวเผา...  เมื่อไปถึงสถานที่เผาศพ  เขาจะเผากันเป็นชั้น ๆ
วิธีการเผาศพเขาทำกันง่ายๆจริง ๆ ค่ะ เขาจะห่อศพไปที่แม่น้ำคงคา ผู้ชายจะห่อด้วยผ้าสีขาว
ส่วนผู้หญิงจะห่อด้วยผ้าหลากสี และนำศพที่ห่อแล้ววางลงบนแคร่ พอหามศพมาที่แม่น้ำคงคา
แล้วเขาก็จะซื้อฟืนกันตรงนั้นมากองไว้  ข้อยกเว้นไม่เผาศพโดยให้ปล่อยลอยไปตามแม่น้ำคงคาก็คือ
(1) ศพของสาวพรหมจรรย์ (2) ศพหญิงแม่หม้าย (3)ศพคนที่ถูกงูพิษกัด  ไม่มีการร้องไห้
เมื่อศพมอดไหม้แล้วเขาก็จะกวาดกระดูกลงแม้น้ำคงคาซึ่งขณะนั้น เราของเราก็ไปไกล้ๆ
ที่เผาศพแล้ว ก็มีหญิงคนหนึ่งทำการโยนซากศพที่มีเนื้อติดกระดูกยังไหม้ไม่หมดหรอกค่ะโยน
เต็มเหนี่ยวประมาณโยนให้ไปไกลๆโอ้ยหวาดเสียว ถ้าเขามีแรงโยนมากกว่านั้นคงมาถึงเรือของเรา
เป็นแน่แท้ทำให้ตื่นเต้นกันหมดลุ้นกันค่ะ แต่มีข้อแม้ห้ามถ่ายภาพเพื่อเป็นการเคารพศพผู้ตายค่ะ
คนจนเขาจะซื้อไม้ฟืนราคาถูกเช่น ไม้สะเดา ไม้มะม่วง ถ้าคนรวย จะซื้อไม้จันทร์การซื้อขายเขา
จะซื้อกันเป็นกิโลกรัมค่ะ

ความเชื่อเรื่องการล้างบาปในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์พวกพาหมณ์นิยมเรื่องการอาบน้ำล้างบาป
โดยเฉพาะที่ท่าเมืองพาราณสีนั้นศักดิ์สิทธิ์มาก สามารถล้างบาปได้ถ้าได้อาบอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
เช้าและเย็นถือว่าบาปที่ทำตอนกลางวันล้างได้ในตอนเย็นและบาปที่ทำตั้งแต่เย็นถึงกลางคืนล้างได้ในตอนเช้าค่ะ
และถือว่าศพที่ถูกเผาที่ท่าน้ำเมืองพาราณสีแล้วกวาดกระดูกลงน้ำไปแล้วเชื่อว่าขึ้นสวรรค์แน่นอนค่ะ
อ.เจนได้ยินเสียงพระสวดมนต์...เป็นภาษา ทิเบต เป็นภาษา สันสกฤต ของพุทธ สลับกัน......

เมื่อนั่งอยู่ที่เรือ อ.เจน ก็ถามดิฉันว่า พี่ได้ยินเสียงสวดมนต์หรือไม่แต่มีเสียงของใครคนหนึ่งพูดมาว่า
ได้ยิน ซึ่ง อ.เจน บอกว่า เขาคงอุปาทานเพราะเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงสวดที่ไม่เหมือนที่แห่งใด
คุณรุ้ง ก็ได้ยิน ส่วนดิฉันยอมรับว่าไม่ได้ยินจริงๆ ค่ะ ดังนั้น อ.เจน จึงใจจิตสื่อดูจึงรู้ได้ว่า
ฝั่งเสียงสวดมนต์เป็นแดนสวรรค์เขาสวดให้กับฝั่งนรก ฝั่งที่เราอยู่กันนั่นแหละค่ะมันเป็นมิติทับซ้อน
ที่เรามองไม่เห็นแต่ที่แน่ๆ ที่นี่เป็นแดนนรกค่ะ อ.เจน บอกว่าสวรรค์ก็อยู่ไม่ห่างไกลจากเราเท่าใดนัก
อยู่เหนือหัวเราไป 7 ศอก (แต่ไม่รู้ว่า 1ศอกของสวรรค์เท่าไหร่นะคะ) เท่านั้น มันเป็นมิติทับซ้อนกันอยู่ค่ะ
อ.เจน ได้เห็นสรรพวิญญาณจำนวนมาก......  ที่บริเวณด้านล่างเป็นที่เผาศพแต่ที่ตามตัวตึกที่ร้าง
เขาสร้างให้วิญญาณอยู่คนไม่ได้อยู่บนนั้น แต่เมื่อ อ.เจนแหงนหน้าขึ้นไปดูก็ได้เห็นวิญญาณเป็นจำนวนมาก
น่าสงสาร หิวโหยพวกเขาต้องการบุญกุศล วิญญาณเหล่านี้อดอยากกว่าครั้งที่เป็นมนุษย์เสียอีก
แต่ด้วยความที่ อ.เจน ไม่ต้องการสื่อสารด้วย จึงไม่แหงนหน้าขึ้นไปมองอีก เพราะอ.เจน บอกกว่า
เรามีแสงบุญมากแต่พวกเขามีกำลังมากกว่า กลัวจะรับไม่ไหวค่ะจึงต้องทำนิ่งเฉย
บางครั้งก็ต้องคิดเสียว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมค่ะและจากการที่ อ.เจน ได้ดูจากญาณวิถีว่า
ทำไมคนถึงต้องออดอยากถึงเพียงนี้ก็ทราบว่าเป็นเพราะผลกรรมที่ครั้งเป็นมนุษย์อยู่
เป็นคนผิดศีล โกงกินนำของของผู้อื่นมาเป็นของของตน ส่งผลให้ต้องไปเกิดที่ประเทศ
ที่อดอยากยากจนค่ะเป็นผลกรรที่เขาทำกันมาค่ะ
ความจริงที่เห็น...สุดแสนจะสงสาร...และปลง... นั่นเป็นความเชื่อค่ะ แต่ความจริงที่ได้เห็นก็คือ
มองเป็นธรรมมะนะค่ะคนเราก็เท่านี้ ตายไปก็ไม่เหลือแม้แต่กระดูกและเถ้าถ่าน
คนไทยใช้โลงศพก็เพราะไม่ให้เกิดภาพอุจจาดตา หรือไม่ให้คนกลัว ความตาย
แต่ที่อินเดียนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เป็นจริงค่ะ ดิฉันและทุก ๆ คน ได้เห็นกับตาว่า
มีคนแบกศพมาศพแล้วศพเล่า เขาทะยอยลำเรียง มาวางเรียงกองกันเป็นแถว ๆ
กองกับพื้นดินศพนี้ถูกหามไป ศพใหม่ก็มาแทนที่ วนเวียนอยู่อย่างนี้ กองฟอนมีประมาณ 6-7
หลุมเป็นขั้นบันได ผู้ที่ชั้นวรรณะสูงก็จะอยู่ขั้นสูงหน่อยค่ะ ดังนั้นกองไฟนี้จึงไม่มีวันดับ อย่างนี้ไงเล่า
เขาบอกว่าที่นี่ไฟไม่เคยดับเขาเรียกว่า ไฟนรก ไฟโลกันต์  คงจะเป็นจริงอย่างนั้นค่ะ
ดิฉันเชื่อว่ากองไฟไม่มีวันหยุดอย่างแน่นอน เมืองนี้มีแต่คนจน คนยากไร้ อดอยาก หิว
โหยเป็นโรคและตาย ส่วนมากจะเป็นผู้หญิงที่มักจะถูกไล่ออกจากบ้าน ถ้าขอทานไม่เป็นก็ต้องตาย
ทำไมต้องขอทานเป็น คือ ต้องรู้จักร้องไห้เป็นรู้จักทำท่าของขอทานที่ให้น่าสงสารสุด ๆ
ซึ่งจากที่ดิฉันดูแล้วไม่ต้องทำท่าอะไรก็เหมือน ๆ กันค่ะ คือเขาจนกันมากซึ่งดิฉันก็ได้ทำตาม
ที่พระมหาน้อยท่านสั่งสอนไว้แต่บนรถ คือ อย่าสบตา อย่ามองเขาดิฉันก็ทำเป็นเดินผ่าน
อากาศธาตุไปเพราะจะทำให้ติดตาและอดสงสารเสียไม่ได้
จากภาพศพที่เห็น... ภาพที่เห็นมันบอกอะไร ๆ กับดิฉันหลายอย่างค่ะ มันบอกได้ว่า
คนเราจะโลภกันไปทำไมคนเราจะชิงดีชิงเด่นกันไปทำไมคนเราจะอยากได้อยากมีกันมากมาย
ไม่รู้จักพอดีกันไปทำไม สุดท้ายก็ตายเหมือนกันดีแต่ว่า ที่เมืองไทยมีโลงให้ แต่ที่นี่เขาเป็นธรรมชาติ
ตายกับธรรมชาติเขาพึงพอใจที่จะเป็นของเขาอย่างนี้ ซึ่งเราที่ถือว่าเป็นอารยะชนดีกว่าเขา
ด้วยการซื้อโลงราคาแพงสวยงาม และประดับประดา ดอกไม้ เพื่อให้เป็นเกียรติกับผู้ตายและญาติผู้ตาย
หรือให้ความยิ่งใหญ่ภาคภูมิใจของผู้ตายโดย เสียเงินเสียทองกันเป็นหมื่นเป็นแสน
เพื่อความตายเท่านั้นเองหรือสุดท้ายดอกไม้ก็เหี่ยวเฉา โลงก็ต้องเผาเป็นเถ้าถ่านไปพร้อมๆ
กันศพจนเหลือเพียงกระดูก ผลลับเท่ากันต่างกันแค่วิธีการเท่านั้นจริงๆ ค่ะ
พื้นผิวน้ำมีแต่เศษซากศพ... ตลอดลำน้ำที่ผ่านมีแต่เศษซากของศพที่ถูกเผาลอยผ่านไป
พระมหาน้อยบอกว่าถ้าเป็นตอนกลางวันก็จะเห็นมีพวกแร้งมีคอยแทะเนื้อศพที่ยังไม่ไหม้ดีด้วย
และที่ผิวน้ำก็จะเห็นไขมันลอยเต็มไปหมด ท่านผู้อ่านคงไม่ต้องถามหรอกนะค่ะว่าไขมันของอะไร
The HHI Hotel –Varanasl    ค่ะคืนนี้เราจะพักกันที่นี่เมื่อกลับจากไปดูพิธีการเผาศพกันแล้ว
ก็มารับประทานอาหารเย็นกันที่โรงแรมที่พักแห่งใหม่นี้ค่ะอาหารที่โรงแรมนี้ซึ่งแลดูหรูกว่า
ที่แรกแต่อาหารสู้ที่แรกไม่ได้ค่ะออกจะเป็นอินเดียมาก ดีว่า คุณไกด์ มีน้ำพริกมาวางไว้ให้ช่วยได้มากค่ะ
คุณรุ้งมาคุยเล่นอยู่กับดิฉันและคุณปลัดชัยนาท จนดึก เพราะว่า อ.เจน จะนั่งสมาธิก่อนนอน
ทุกคืนเพื่ออุทิศบุญให้เจ้าที่เจ้าทาง และเหล่าสัมภเวสีเพราะอาจารย์เป็นคนเห็นผีวิญญาณ
และสัมผัสได้จึงรู้ว่าพวกเขาต้องกการบุญค่ะ  แต่เมื่อคุณรุ้งก็กลับไปอาบน้ำบ้างเพื่อพักผ่อน
ก็ต้องพบเจอปัญหาคือ พวกบรรดาสัมภเวสีที่มารอรับบุญจาก อ.เจน เขาก็มาทำเปิดปิดน้ำ
ทำเสียงดังแบบปิดประตู หรือแสดงตนเป็นเงาดำ เพื่อมาขอส่วนบุญจากคุณรุ้งบ้างค่ะ  
ส่วนดิฉันโชคดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือถ้าหัวถึงหมอนแล้วนอนหลับยังกะตัวอยู่ที่บ้านของตัวเอง
เป็นคนหลับง่ายค่ะด้วยชีวิตของดิฉันเดินทางตลอด ดังนั้น เมื่อตื่นขึ้นมารู้สึกแปลกสถานที่
ของห้องนอนก็จะลำดับภาพเหตุการณ์ว่าเมื่อวานเรามาพักที่ไหน และวันนี้มาทำงานอะไร
อยู่ที่ไหนค่ะ ใช่ค่ะดิฉันเป็นคนกินง่ายนอนง่ายเลี้ยงง่ายค่ะ

อังคารที่17 ธันวาคม 2556
รับประทานอาหารเช้าคุณรุ้ง ก็มารายงานแต่เช้า ว่าเมื่อคืนเจอผีด้วยค่ะ เพราะ อ.เจน
กำลังแผ่เมตตาเป็นเวลาเดียวกับที่พวกเขามารับบุญ ทำให้คุณรุ้งต้องพบเจอพวกเหล่าวิญญาณ
ที่ยังต้องการบุญอยู่อีกมารอขอส่วนบุญจากผู้ใจบุญในห้องนี้คือ ห้องของ อ.เจน กับคุณรุ้งค่ะ
อ.เจนก็มาบอกว่า เมื่อคืน ได้นั่งสมาธิ และอุทิศบุญ ปรากฏว่า พวกวิญญาณทั้งหลายเขาต้อง
การบุญเป็นจำนวนมากจริงๆ เขาดีใจกันมาก เขาต้องการบุญแต่คนที่นี่เขาไม่ทำบุญกัน
ก็จากสาเหตุของความจนแม้จะกินก็ไม่มีจะเอาอะไรไปทำบุญละค่ะดังนั้น เมื่อเขาได้ตาย
ไปจึงต้องการบุญจาก อ.เจนก็พอดีกับเวลาที่คุณรุ้งกลับไปพอดีก็เลยพบปะเข้าให้ โดยบังเอิญค่ะ
โชคดีแค่ไหนแล้วค่ะที่ทุกท่านผู้มีกำลังทรัพย์พอที่จะทำบุญสักเพียงใดก็ได้ก็จะได้แง่คิดที่ว่า
คนเราอย่าประมาทในชีวิต หมั่นทำบุญสร้างกุศล ครั้นเมื่อเราตายไปจากโลกนี้ก็จะได้ไม่ต้อง
ไปร้องขอใครเขากินดีมั้ยค่ะ
พระมหาน้อยนำเดินทางต่อไป  เมื่อลงจากรถโอ้โหอากาศหนาวมาก ทุกคนจัดเต็มตั้งแต่หมวก เสื้อ 3 ชั้น
ของดิฉันนะค่ะ กางเกง 2 ตัวไม่งั้นหนาวตายเลยค่ะ สถานที่ มรดกโลกสารนาถ เพื่อมานมัสการเจ้าคันธีสถูป
สถานที่พระพุทธองค์ทรงพบปัญจวัคคีย์และไปนมัสการ ธัมเมกขสถูป สถานที่ที่ทรงแสดงปฐมเทศนา
โปรดปัจวัคคีย์และเกิดพระรัตนตรัยเป็นครั้งแรกในโลก และนมัสการพระคันธกุฎีกุฎิหลังแรกที่พระพุทธองค์
ทรงจำพรรษาเป็นพรรษาแรกหลังจากตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วชมสังฆารามกุฏิสงฆ์กว่า 1,000 รูป
นำชม พิพิธภัณฑ์สารนาถสถานที่เก็บรวบรวมวัตถุโบราณที่มีความสำคัญทางพุทธศาสนาภายในมี
พระพุทธรูปที่สวยงามมากค่ะ
เที่ยงทานอาหารแล้วเดินทางต่อไป เมืองกุสินารา (ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมง) สำหรับการเดินทาง
ครั้งนี้นั่งกันไส้สะเทือนเลยค่ะตลอดเส้นทางเป็นการเดินทางจากชานเมืองและถึงจะเข้าไปในตัวเมือง
ที่เป็นชุมชนหมู่บ้านตลอดเส้นทางซ้ายมือดิฉันได้เห็นภาพของคนที่เขาเผาศพ กลางทุ่งนาบ้าง
ริมแม่น้ำบ้างเห็นฝูงแร้งบินร่อนลงไปเตรียมจิกศพเป็นสภาพของวัวเทพเจ้าที่เขาปล่อยทิ้งให้กอง
ตายอยู่อย่างนั้น ฝูงแร้งก็ไปจิกกันที่น่าคิดก็ตรงที่ว่า วัวเขาถือเป็นเทพเจ้าแต่ทำไมเขาใช้วัวลากจูง
ของหนักตัวงี้ผอมเซียวน่าสงสารเชียวค่ะ  เขาใช้วัวเทพเจ้าถึงเพียงนี้เชียวหรือค่ะ คนที่นี่เชื่อว่าสายน้ำที่
เกิดจากธรรมชาติสะอาดและบริสุทธิ์แต่ถ้าเป็นแม่น้ำคูคลองที่ขุดขึ้นเองไม่นับว่าเป็นธรรมชาติค่ะ
สองข้างทางมีต้นกุสะปลิวไสวให้เห็นสวยงามตัดกับแสงพระอาทิตย์สวยดีค่ะ ที่นี่เป็นธรรมชาติมากค่ะจะ
รำคาญมากก็ตรงเสียงบีบแตร ของคุณโชว์เฟอร์เขานี่แหละหนวกหู...มากจริง ๆ ค่ะ

วิถีชาวบ้าน เมื่อเข้าถึงตัวเมืองโอ้โห..ทั้งรถทั้งคนเดินกันกวักไขว่พระมหาน้อยบอกว่าทริปนี้เป็นทริปที่พิเศษมาก
ปกติการเดินทางต้องประมาณ 14 ชั่วโมงบางครั้ง 24 ชั่ว โมงก็มี  หรือมากับผู้มีบุญ อย่าง อ.เจน
ก็ไม่รู้แปลกมากแต่ไม่ประมาทอาตมาจึงได้นำสวดบทธัมมะจักร เป็นบทที่เทวดาชอบฟังเมื่อท่านมาฟัง
แล้วจะได้ช่วยเข็ญรถของเราให้เหมือนจักรที่ขัยเคลื่อนไปได้ยังไงเล่า  เพราะที่นี่รถบรรทุกมักจะตายขวาง
ถนนเขาก็ปล่อยให้มันขวางถนนอยู่อย่างนั้น ท่านว่าโชคดีจริงๆ สำหรับการเดินทางที่อินเดียนี้ต้องใจ
เย็นจะถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้บอกกำหนดไม่ได้
ตลอดเส้นทางก็มีแต่คนขายของตาชั่งแบบโบราณค่ะ เป็นจานสองใบเหมือนตาชั่ง
ที่เป็นตราสัญลักษณ์ของศาล อะค่ะแต่ของพ่อค้าแม่ค้าเก้าเก่าค่ะ เป็นเวลาเดียวกับที่โรงเรียนเลิก
พอดีคนที่นี่เป็นสังคมที่ดีนะค่ะ นักเรียนชายหญิงแม้จะเป็นวัยหนุ่มสาวแต่เขาจะไม่เดินด้วยกันผู้ชาย
ก็เดินกลุ่มผู้ชายและกลุ่มผู้หญิงก็จะเดินกับกลุ่มผู้หญิงค่ะพวกผู้ชายขับจักรยานก็จะไม่ให้ผู้หญิงซ้อนท้าย
เขาจะให้ผู้ชายด้วยกันซ้อนท้ายค่ะหญิงก็เหมือนกัน แต่ประเพณีของที่อินเดียนี้ ผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายไปสู่ขอผู้ชาย
  คนที่อินเดียใจดีไม่ใจร้ายเพราะเขาถูกสั่งสอนมาดี ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องทะเลาะกันหมือนจะเป็น
จะตายแต่วันรุ่งขึ้นเขาดีกันแล้ว เขาไม่ผูกใจเจ็บ เขารู้จักอภัยกันค่ะเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ค่ะ
ผลไม้ที่ขายจะมีพวกแอปเปิ้ล  ทับทิม ส้ม ปลูกในที่อากาศเย็น และก็มีถั่วมาจากอินเดียตอนกลางดังนั้น
ถั่วที่นี่จะไม่สดจะเป็นถั่วตากแห้งตอนนี้ใกล้ช่วงเทศกาลวันคริสมาสต์ เขาจึงมีขนมหวานอินเดียไว้
จำหน่ายเพื่อนำไปกักเก็บไว้ก่อนที่นี่ไม่นิยมขนมเค้กจากที่เห็นนะค่ะ ส่วนมากจะเป็นขนมปั่นเหมือนพวกถั่วกวนบ้านเรานะค่ะ
ตามหมู่บ้านที่ผ่านไปจะเห็นเขาเอาขี้วัวปั้นเป็นแผ่นกลมๆ บางเมืองก็เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
เพราะเขานับถือพระจันทร์เขาก็จะถือว่าเป็นมงคลชีวิตแต่ที่เหมือนกันที่สุดก็คือ
เป็นฝีมือของพวกผู้หญิงชาวบ้าน ได้รับการปลูกฝังว่าพวกผู้หญิงที่เกิดมาต้องทำงานปั้นขี้วัว
ตากแห้ง แล้วนำไปขาย วิธีการก็คือทุกวันพวกผู้หญิงจะต้องไปหาขี้วัวนำมาปั้นเป็นแผ่นแล้วตากแห้ง
อาจจะเป็นรูปวงกลมหรือพระจันทร์เสี้ยว แล้วแต่เมืองๆ นั้น ปั้นเสร็จก็จะนำไปปะติดไว้ที่ข้างกำแพง
บ้านเรือนของตนหรือข้างกำแพงรั้วบ้าน เป็นการตากแห้งชั้นดีแห้งเร็ว  บางครั้งคนในครอบครัวก็ต้องช่วยกัน
ทำไมต้องหาขี้วัว   ขี้วัวเป็นรายได้ที่ดีของผู้หญิงอินเดียเมืองนี้เพราะว่า ผู้หญิงที่เกิดมาทุกคน
ต้องทำเงินหารายได้ของตนเองตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาวเพื่อเก็บเงินออมไว้เป็นค่าสินสอดนำไปสู้
ขอผู้ชายมาแต่งงานด้วย  ตลอดเส้นการเดินทางเราก็จะสามารถรู้ได้ว่าบ้านไหนทีฐานะมากน้อยแตกต่างกัน
ก็ดูจากกองขี้วัวที่หน้าบ้านของแต่ละคนค่ะและกองขี้วัวที่ทำการตากแห้งเสร็จแล้วสูงมากน้อยเพียงใด
ดิฉันได้เห็นบรรดาสาว ๆ สีหน้ามีความสุขมากที่บนศีรษะของแต่ละนางก็จะมีตระกร้าถักสานทรงบาน ๆ
เทินอยู่บนศรีษะของเธอแต่ละนาง และในตระกร้านั้นก็จะมีขี้วัวกองพะเนินอยู่บนศีรษะของแต่ละนาง
ช่วงบรรยากาศยามเย็น กับรอยยิ้มของสาว ๆเดินพูดคุยหยอกล้อกัน พวกเธอมีความสุขมากค่ะ
เป็นธรรมชาติที่หาดูได้ยาก  ดังนั้น เมื่อรถบัสของเราได้จอดเพื่อให้สาวๆในรถของเรา ที่ต่างก็มีผ้าถุง
ประจำกายกันคนละผืนไปเพื่อเด็ดดอกไม้ในทุ่งกว้าง(สุขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก)
จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ดิฉันจะได้ถ่ายภาพของพวกเธอที่มีขี้วัวเทินอยู่บนซึ่งก็พอดีที่ดิฉันได้ไป
ขอเธอถ่ายรูปและดูเธอจะพออกพอใจให้ดิฉันถ่ายรูปของเธอค่ะ
ตอนเย็นๆเป็นบรรยากาศที่ดีมากเราจะเห็นพวกผู้หญิงเอาขี้วัวเทินไว้บนหัวเดินยิ้มย่องพูดคุยกันหน้าตา
ร่าเริงมากเขาไม่ได้รังเกียจขี้วัวบนศรีษะของเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะนั่นมันคือเงินค่ะเขาจะนำขี้วัวที่
ตากแห้งนี้ไปขาย ให้กับผู้ซื้อที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง คนอินเดียนิยมใช้ถ่านลิกไนซ์  ขี้วัว  ใช้ประกอบอาหาร
ส่วนไม้ ฟืน เขาจะใช้ไว้เผาศพเท่านั้นค่ะ

คาคิปู้หรือ บขส. หรือเขาเรียกว่า โกโรโกโส เตชั่น รถรับจ้างทุกคันจะมาจอดรวมกันอยู่ที่นี่
ถนนก็ขรุขระเป็นหลาเป็นบ่อบางแอ่งสามารถเลี้ยงปลายได้เลยค่ะ ถ้าเป็นรถใหม่คนจะไม่นิยม
คนจะนิยมรถเก่าเพราะถือว่า เป็นรถที่มีประสบการณ์ ชำนาญ และเอาตัวรอดได้เป็นซะอย่างนั้นค่ะ
ระที่นี่เขาจะนำรถตู้ที่เก่ามาก ๆ แกะกระจกที่ด้านหลังรถออกแกะเบาะที่นั่งภายในออก
และคนก็เข้าไปนั่งอัดกันหันหน้ามาทางด้านหลังรถหัวงี้เรียงสลอนกันเชียวค่ะ
ผสมผสานไปด้วยฝุ่นละออกตามพื้นถนนที่ไม่ได้มีการลาดยางแต่พวกเขาก็มีความสุข ค่ะ
พูดถึงถนนกันหน่อยค่ะที่นี่เขาจะนำหินมาวางเรียงกันพอสมควรแล้วก็ทิ้งไว้อย่างนั้นจนกระทั่งรถ
ที่สัญจรผ่านไปมาบดทับทุกวันๆจนมันเรียงได้ระดับกันเองไปในที่สุดซึ่งเรื่องฝุ่นไม่ต้องห่วงมากมาย
มหาศาลเป็นฝุ่นสีแดงเหมือนกับหินและดินลูกรังที่เป็นสีแดงนั่นแหละค่ะ ตามบ้านเรือนผู้คนมี
แต่ฝุ่นข้าวของเขาก็นำมากองไว้ที่หน้าบ้าน คนอินเดียถือว่าทรัพย์ที่กองไว้ที่หน้าบ้านเป็นสิ่งดี
เป็นทรัพย์ถ้าใครมีทรัพย์มากองไว้หน้าบ้านมากก็ถือว่ามีเงินค่ะแต่ที่ดิฉันดูว่ามันสกปรกรกรุงรังไม่เป็น
มลคลเอาเสียเลยค่ะกลังว่าจะเป็นโรคปอดเพราะฝุ่นนี่แหละค่ะ

โรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตลอดเส้นการเดินทางที่อยู่ตามชนบทนะค่ะเท่าที่เห็นพวกเด็กก็
จะนั่งเรียนหนังสือกับคุณครูของพวกเขาท่ามกลางทุ่งนาหรือใต้ต้นไม้ แล้วแต่สถานที่จะอำนวย
พระมหาน้อยบอกว่าคนที่เขามักศึกษาจากธรรมชาติแล้วนำมาสอนเด็กให้เข้าใจในธรรมชาติมากที่สุดค่ะ
โรงพยาบาล พระมหาน้อยเล่าให้ฟังว่าโรงพยาบาลที่นี่ถ้าไม่จำเป็นอย่างได้เข้าไปเชียวมีครั้งหนึ่ง
ท่านไปช่วยเขาถือขวดแป๊ปซี่ขวดใหญ่ ปรากฏว่ามันหลนลงมาแตกทำให้เท้าของท่านพระมหา
น้อยบาดเจ็บเพราะเศษแก้วพระเพื่อนก็นำพอไปโรงพยาบาลเมื่อได้สติคืนมาก็รู้สึกว่ามันเหม็นมาก
ก็นึกว่าผ้าของตนเองเหม็น รู้สึกเหม็นมากๆก็ได้แต่หาดมไปทั่ว ปรากฏว่า เมื่อไปพลิกที่นอนเขาดู
จึงพบว่ามีน้ำเลือดน้ำหนองสะสมกันอยู่ที่เบาะที่นอนที่อาตมานอนอยู่นั่นแหละเมื่อหมอนัดให้มา
ล้างแผลอีกพระมหาน้อยจึงบอกแก่หมอที่โรงพยาบาลว่าไม่ต้องห่วงอาตมาล้างแผลเองได้เก่งมาก
ด้วยที่จริงไม่อยากไปอีกเพราะเกรงว่าจะไปติดเชื่อโรคจากโรงพยาบาลกลับมาอีก
ศพบนหลังรถ ตลอดเส้นทางดิฉันได้เห็นรถที่ขับสวนทางไปมาก็จะมีศพที่เขาตกแต่งชุดประดับ
ประดาไว้อย่างสวยงามแล้ว ก็น่าจะเป็นศพคนมีสตางค์เขาก็จะวางไว้บนแคร่ และผูกแคร่ไว้บนหลัง
รถอีกทีนั่นแหละค่ะ มันจะเสียวๆ ก็ตอนที่ว่าถ้าอยู่ ๆ รถที่บรรทุกศพนั้น เจ้าคนขับเกิดเหยียบเบรกรถ
หรืออะไรแก้แล้วแต่ศพที่แข็งตัวแล้วจะมีสิทธิ์ที่จะพุ่งตรงมาที่รถเราหรือไม่น้า  
สังเกตบ้างไม่สังเกตบ้างคร่าว ๆ ก็ได้ประมาณ4-5 ศพ นี่แค่ครึ่งวันเท่านั้นนะค่ะ ทำให้ดิฉันที่เป็น
คนอยากรู้อยากเห็นซึ่งนั่งอยู่ส่วนหน้าของรถเสียด้วยจำเป็นต้องมานั่งนับว่ามีศพผ่านหน้าไปมาแล้ว
จำนวนกี่ศพ ผู้หญิงหรือผู้ชายหว่าบางศพก็ประดับประดาด้วยดอกดาวเรืองเต็มตัวไปหมดมองไม่
ถนัดตาค่ะแต่เท่าที่สังเกตศพที่มีฐานะมากก็จะแต่องค์ทรงเครื่องเป็นผ้าสีเหลืองและสีทอง
ปักดิ้นสวยงามแม้จะงามอย่างไรทุกศพก็นอนหงายหน้าขาถ่างชี้ออกมาให้เห็นเด่นชัดมากอยู่บนหลัง
คารถสองแถวหรือรถตู้เปิดประทุนคือรถตู้ที่นี่เขาจะเลาะหน้าต่างและเบาะที่นั่งภายในรถออกหมด
คนที่นั่งในรถเขาก็จะนั่งลงบนพื้นของรถและอัดกันเข้าไปซึ่งได้ปริมาณที่มากกว่านั่งเบาะค่ะ
คนนั่งเขาจะหันหน้ามาทางด้านหลังรถที่เปิดฝาหลังรถให้โล่งค่ะ
กรณีที่มีศพหลังคารถดิฉันก็นั่งลุ้นว่า ศพที่นอนอยู่บนหลังคารถนั้นจะล่วงหล่นมาหรือไม่
และถ้ารถเบรกกระทันหันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาผูกศพไว้ไม่แน่นหนาพอหรือเคยมีบ้างมั้ย..น้า..
ถ้ารถเยียบเบรคกระทันหันศพจะพุ่งตัวลงมามั้ย..น้า..ก็คิดไปเรื่อยแหละค่ะแต่เขาก็ฝีมือน่ะค่ะคนขับรถเนี้ยค่ะ
โปลิศ...บังกะโล   แวะเข้าห้องน้ำชื่อว่า โปลิศ...บังกะโล ที่นี่จะมีตำรวจถือปืน ถือกระบองเต็มไป
หมดมายืนพูดคุยกันและก็มีขอทานเต็มไปหมด แต่ที่แน่ ๆ ที่หน้าห้องน้ำก็มีคนมายืนพูด ว่า
ทริปๆๆๆเราก็ต้องให้เขาไป เหมือนโดนถูกไถเงินเลยค่ะ
ImperialHotel – Kushinagar  ที่พักคืนนี้ค่ะ คืนนี้ก็อีกเช่นเคย คุณรุ้งก็ปล่อยให้ อ.เจน
อาบน้ำก่อน และกลับไปที่หลัง ก็เจออีก ผอ..ระอี...ผี  ไงค่ะ เพราะที่นี่มีมาก อ.เจน บอกว่ายิ่ง
กว่าไปบ้านล่าท้าผีอีกค่ะ เขามาอยู่ตามโรงแรมเต็มไปหมดค่ะ

พุธที่ 18 ธันวาคม 2556
ทานอาหารเช้าแล้วไปมกุฎพันธนเจดีย์ เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธองค์
ซึ่งปัจจุบันเป็นซากเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่ จากนั้น ก็ไปนมัสการที่ปรินิพพาน ณสาลโนทยาน
มีต้นสาละ ปลูกไว้เป็นอนุสรณ์ เพื่อเป็นอนุสติระลึกถึงพระพุทธองค์นมัสการองค์ปรินิพพานสถูป
ที่มีลักษณะเป็นทรงบาตรคว่ำสูงใหญ่ มีฉัตร 3 ชั้นตอนบนได้พังลงไปแล้ว และปัจจุบันได้รับการบูรณะแล้ว
ถัดมาเป็นปรินิพพานวิหารภายในมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานขนาดใหญ่
เมื่อทุกคนเดินเข้ามาภายในวิหารนี้พระมหาน้อยพูดว่า นี่เป็นเรื่องที่ดีและแปลกมากโดยปกติแล้ว
จะมีผู้คนมากมายเราเข้าไม่ถึงพระองค์ท่านหรอกมาวันนี้ พวกเราได้มา ห่มผ้าพระพุทธองค์เสมือน
ได้มาห่มผ้าให้กับพระพุทธเจ้าว่าแล้วพระมหาน้อยก็ได้ให้พวกเราทุกคนจับผ้าที่คุณรุ้ง
และ อ.เจนได้จัดเตรียมมาพร้อมสลักชื่อ แม่ตี้ อ.เจน และคุณรุ้ง เป็นผ้าปักดิ้นลายไทยสีเหลืองทอง
สวยงามมากด้วยความตั้งใจของอาจารย์ เพราะอานิสงส์แห่งการจัดผ้าอย่างดีห่มผ้าพระพุทธรูปก็ถือว่า
ได้อานิสงส์บุญสูงมาก แต่มาวันนี้พวกเราได้มาห่มผ้าพระพุทธองค์ ณดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้
ก็คงเป็นบุญมหาศาลเพราะเราตั้งใจกันมาค่ะ
โดยพระมหาน้อยท่านได้นำเดินเวียน3 รอบ ด้วยบทสวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณและ
มาหยุดพอดีกับที่หน้าพระพักตร์ท่าน อ.เจน และดิฉัน ฝั่งตรงข้ามก็มีคุณรุ้งพวกเราทุกคนได้ห่มผ้าผืนนี้
และนั่งสวดบทที่ดิฉันจำได้ว่าตอนเด็ก ต้องท่องทุกวันค่ะ และแสนจะเบื่อหน่ายที่ทำไมต้องท่องบทนี้ทุกวัน
..ก็คือ บทสรรเสริญพระพุทธคุณ(ทำนองสรภัญญะ)
“องค์ใดพระสัมพุทธ  สุวิสุทธสันดาน  ตัดมูลเกลศมาร  บ่ มิหม่นมิหมองมัว  หนึ่งในพระทัยท่าน
  ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคีบ่ พันพัว สุวคนธกำจร……….ข้าขอประณตน้อม  
ศิระเกล้าบังคมคุณ สัมพุทธการุญ-ญภาพนั้นนิรันดรฯ”
แต่มาวันนี้ดิฉันท่องบทนี้ด้วยน้ำตาที่นองหน้าของดิฉันพร้อมๆ กับพระมหาน้อยได้พูดไปด้วยว่า
“นอนเถอะพ่อนอนให้สบาย บัดนี้ พวกลูก ๆได้มาห่มผ้าให้พ่อแล้ว”  ตอนนั้นดิฉันกลั่นน้ำตาไว้ไม่อยู่บรรยากาศนั้น
เกิดความรู้สึก ปิติสุข ศรัทธาในความมานะบากบั่นหาหนทางการหลุดพ้นของพระพุทธองค์ท่านคง
เหนื่อยล้ามากกว่าใครๆหลายร้อยหลายพันเท่า และอะไรต่อมิอะไรตอนนั้นที่ดิฉันจะคิดได้ทำให้ต้องร้องไห้ออกมา
แต่ไม่อยากให้ใครเห็นที่ไหนได้ได้ยินเสียงคนร้องไห้ ขี้มูกโป่ง กันหลายคนค่ะ
เมืองลุมพีนี  ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชม.  เดินทางมาถึงวัดไทยนวราชรัตนาราม 960 มาถึงก็ได้เวลาเย็นพอดีค่ะ
ที่นี่มีสุขาที่สวยงามมากเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของไทย  ห้องน้ำและสถานที่สร้างแบบไทยๆ
มาแล้วรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่เมืองไทยค่ะ  เจ้าหน้าที่ของทางวัดเขาต้อนรับด้วยขนมแสนอร่อยและมีของซื้อฝาก
เป็นพวกลิฟมันปาร์มที่ราคาแสนถูกถ้าเป็นเมืองไทยเป็นร้อยกวาบาทต่ออันแต่ที่นี่ราคาถูกมากค่ะ
  คนไทยนะค่ะ แม้จะมากัน 27 ชีวิตก็ซื้อกันซะแทบจะเหมากันทีเดียว กำไรส่วนหนึ่งก็ให้กับวัดค่ะได้บุญด้วย
ได้ของติดมือกลับบ้านด้วยส่วนดิฉันไม่กล้าซื้อไรมากค่ะ
พักโรงแรมHokke Hotel – Lumbini  ค่ำคืนนี้ก็ไม่ต่างจากคืนไหน ๆ ก็อ.เจน กับคุณรุ้ง ก็มาบอกว่า
ที่นี่เยอะเลยค่ะ ดิฉันก็เฮ้อไม่เจอสักวัน ทำเป็นปากดีไปงั้นแหลหะตระกรุดของหลวงพ่อจำลอง
วัดเจดีย์แดง เก่งเรื่องคงกะพัน และหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ที่ไม่เคยให้ห่างกายของ
ดิฉันช่วงที่อยู่อินเดีย ตามที่ คุณรุ้งสั่งไว้แหละค่ะ เพราะกลัวว่าจะคุยกะเขาไม่รู้เรื่อง
ผีที่อินเดียเขาใช้ภาษาอินเดียหรือภาษาชนชาติอินเดียก็ไม่รู้ซึ่งดิฉันก็ไม่รู้จะคุยไรกับผี แต่
อ.เจน บอกว่า หนูคุยเป็นภาษาอังกฤษค่ะบอกพวกเขาว่าให้ใจเย็น ๆ รอก่อนนะ ขอนั่งสมาธิก่อนจะได้บุญกัน
เช้าพระมหาน้อยได้นำคณะ อ.เจน ไปถวายสังฆทานที่วัดไทยนวราชรัตนาราม 960  ระหว่างจะข้ามถนน
หมอกลงจัดมองไม่เห็นทางซึ่งอันตรายมากค่ะ พระมหาน้อย อ.เจน คุณรุ้ง และดิฉัน
เดินเป็นกลุ่มแรกอยู่กลางถนนแล้ว รถมาจากไหนก็ไม่รู้เกือบชนคณะเราค่ะ ใจหายใจคว่ำเลยค่ะเพราะรถเขาขับมาเร็ว
เขาก็ไม่เห็นเรา ส่วนเราก็ไม่เห็นเขา หมอกลงจัดมาเห็นกันอีกทีก็ระยะ 3 ก้าวค่ะ โอ้วอันตรายมากจริง ๆ
เมื่อเขาไปภายในวัดท่านเจ้าอาวาสท่านก็กล่าวต้อนรับคณะอ.เจน ซึ่งท่านบอกว่ารู้จักเป็นอย่างดี
ในสื่อต่าง ๆ ซึ่งท่านก็ได้ชื่นชมว่าเป็นผู้นำพาคนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบซึ่งหาได้น้อยคนนักที่คิดดีอย่างนี้
สังคมไทยทุกวันนี้มีแต่คนเห็นแก่ตนเองเท่านั้นท่านก็พูดสั่งสอนธรรมมะหลายประการ
ตบท้ายด้วยเรื่อง ผีๆ ท่านก็เล่าให้ฟังว่า  ที่นี่อากาศหนาวเย็นก็จะมีหมอกหนาแน่น เมื่อที่มาอยู่วัดนี้ใหม่ๆ
ก็มักจะมีเรื่องกับผีชื่อว่า เจ้าจุก  อาตมาชอบนอนเล่นตรงม้านั่งที่เจ้าจุกเขามาชอบเล่นเขาก็จะมาไล่อาตมา
ให้ไปนอนที่อื่น อาตมาก็จะนอนขวางมันอยู่อย่างนี้แหละก็อาตมาเป็นพระ เจ้าจุกเป็นผีเด็กที่ดื้อมาก
เจ้าจุกก็หาว่าอาตมามาแย่งที่กระโดดเล่นของเขา เพราะเขามาอยู่ก่อนก็จะหลอกอาตมาทุกวัน
อาตมาก็จะลองดีกันทุกวัน นึกลำคราญ อยู่มาวันหนึ่งก็คิดอุบายว่าที่โรงแรมนะ (บอกชื่อโรงแรมให้เสร็จ)
ที่นั่นน่ะเขาไม่มีคนมาพักไปอยู่ที่นั่นเถอะมีห้องเล่นตั้งหลายห้องเจ้าจุกก็เชื่อทุกวันนี้ไม่มากวนอาตมาเลย
เจ้าจุกคนนี้เป็นเด็กขอทานเร่ร่อน มาถูกรถชนตายที่หน้าวัดหัวหลุดกระเด็นจึงเป็นผีที่ดุเอาการเพราะ
เป็นผีตายโหง ตามที่ท่านเจ้าอาวาสเล่ามานี้ก็เพราะรู้ว่าอ.เจน เห็นผีจริง และผีมีจริง จึงได้เล่าสู่กันฟังค่ะ

พฤหัสบดีที่19 ธันวาคม 2556
สถานที่ประสูติของพระพุทธองค์  คณะได้เดินทางไป นมัสการสถานที่ประสูติของพระพุทธองค์
โดยพระมหาน้อยได้นำสวดบทธรรมจักร นั่งสมาธิเดินเวียน 3 รอบ เพื่อทำความเคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ด้วยบท อิติปิโส 3 จบ แล้วไปชมวิหารมหามายาเทวีชมภาพหินสลักที่สวยงาม และได้ไปนั่งสวดมนต์นั่งสมาธิ
ที่เสาศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่มีอายุถึง 2,300 ปี  ชมสละโบกขรณีสถานที่สรงน้ำของ
พระนางสิริมหามายาหลังจากประสูติกาล
สนามบินลุมพินี  โอ้โห ที่นี่มันคือ...? ใช่หรือสนามบิน ไกด์น้องมิ้งกับน้องเบลล์ก็ไปดำเนินการเรื่อง
กระเป๋ากับพาสปอร์ต ส่วนคุณปราโมทย์ ก็คงต้องอำลาอาลัยกันที่นี่แล้วเพราะหมดหน้าที่ แต่ที่สุดแสน
จะอาลัยก็คือพระมหาน้อยวันนี้เราต้องจากกับท่านแล้วท่านก็ได้มาส่งคณะอ.เจน ด้วยที่สนามบิน อ.เจน
กล่าวกับดิฉันว่า ท่านเป็นพระที่น่านับถือมาก น่าจะนำเอาแบบอย่างของท่านมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่ายอท้อ
เพราะท่านไม่ท้อที่จะเป็นผู้นำพาผู้คนไปเข้าพบองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อสืบทอดศาสนาให้คงอยู่
ท่านเป็นพระผู้เสียสละหายากค่ะ ท่านทำหน้าที่นี้มากว่า20 ปี แล้ว ท่านเป็นพระที่พระไทยในต่างแดนรู้จัก
ท่านเป็นอย่างดีว่าเป็นผู้รู้ประวัติของพระพุทธเจ้าได้อย่างลุกซึ่งและสามารถถ่ายทอดออกมาให้ผู้ฟัง
ได้รับฟังเข้าใจและไม่เกิดความเบื้อหน่ายแม้แต่น้อยค่ะ
อ.เจนคุณรุ้งและดิฉัน ซึ่งในใจของทุกคนที่ร่วมคณะต่างก็ต้องคิดเหมือนกันว่าท่านเป็นพระที่ประเสริฐ
มองโลกในแง่ดีและเข้าใจคนและธรรมชาติขิงคนมากที่สุดค่ะ ซึ่งพวกเรารู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลไม่กล้าหัน
กลับไปมองท่านเลยรู้สึกอาลัยตอนที่กราบลาท่านเพื่อเดินทางต่อไปค่ะ

กาฐมาณฑุ  ออกเดินทางจากลุมพินีถึงกาฐมาณฑุ  โดยสายการบิน Buddha Airlines  
เมื่อลงจากสนามบินก็มีรถมารอรับบริการไว้แล้ว  น้องมิ้งกับน้องเบลนำคณะเดินทางไป ชมสถานที่สำคัญดังนี้
วัดโพธินาถ เป็นวัดทางพุทธศาสนาที่มีเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล องค์เจดีย์เขียนเป็นรูปตา-คิ้วไว้ทั้ง 4 ด้าน
โดยที่องค์การยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นมรดกโลก ปี 2552  บริเวณวัดเป็นแหล่งชุมชนของชาวทิเบต
มีสินค้าพื้นเมืองมากมายมาวางขาย เมื่อมาถึง อ.เจน ได้นำพาเวียน 3 รอบด้วยบทพระพุทธคุณ
พระธรรมคุณพระสังฆคุณ แล้วอุทิศบุญให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ ซึ่ง อ.เจน บอกว่าท่านรับรู้ได้ค่ะ
วัดกุมารีหรือ กุมารี ฆระ เป็นที่พำนักของเทพธิดากุมารี(ความเชื่อของชาวเนปาล กุมารี คือ ตัวแทนแห่งพระอุมาเทวี
เป็นเทพบริสุทธิ์ที่ถือกำเนิดโลกมนุษย์ซึ่งต้องผ่านการคัดเลือกมาจากเด็กหญิงอายุ 3-5 ปีจากตระกูลศากยะ
หรือตระกูลของพระพุทธเจ้าเท่านั้นกรคัดเลือกต้องมีส่วนประกอบหลายอย่าง เช่น ต้องมีการตรวจดวงชะตา
ต้องผ่านการทดสอบเมื่อผ่านขั้นตอนก็จะทำพิธีอัญเชิญไปพำนักที่วังกุมารี จนกว่าจะมีรอบเดือนจึงถือว่าสิ้นสุด
ของหน้าที่ตำแหน่งกุมารีหน้าที่กุมารีต้องทำพิธีบูชาเทพธิดาแห่งเตาไฟ หรือเทพธิดาแห่งการดำรงชีพ  
ตัวบ้านกุมารีเป็นบ้านไม้3 ชั้น แกะสลักไว้อย่างสวยงาม ชม กาฐมณฑป อาคารไม้ที่เก่าแก่ที่สุด
เป็นต้นกำเนิดของชื่อเมืองกาฐมาณฑุ ค่ะ
คณะเราของเราก็ได้ยืนรอดูว่ากุมารีจะออกมายื่นที่หน้าต่างหรือไม่ แต่รอได้สักพักกุมารีก็ออกมาให้เห็นหน้า
ออกมานั่งอยู่อย่างนั้น จากภาพที่เห็นเด็กคนนี้น่าสงสารมาก เพราะเป็นเด็กน่าจะได้เล่นหัวกับเด็กวัยเดียวกัน
ถึงเวลาเขาก็สั่งให้มานั่งให้คนดูแต่ก็เป็นประเพณีของประเทศนี้ค่ะ

จัตุรัสกาฐมาณฑุ ดูร์บาร์ หรือ พระราชวังหนุมานโดก้า เป็นอาคารแบบยุโรปสีขาว มีหอสูง 9 ชั้น
เรียกว่าหอพสันตปุร์ พระราชวังนี้ใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญของราชวงศ์และพระมหากษัตริย์เนปาล
ที่นี่สวยงามมาก ดิฉันได้เห็นรูปปั้นหนุมานโดก้าจึงได้แอบกระซิบกับคุณรุ้ง เอาอีกแล้วค่ะ ชอบจริงๆ เราเนี้ย  
เราสองคนต่างพนมมือขอพลังของหนุมานโดก้า และแล้วอ.เจน ก็เดินมาบอกว่า สองคนนี้ทำอะไรกันอีกแล้ว
อย่าทำนะพี่ คำตอบ คือ ทำไปแล้วค่ะแฮะๆ
คนมาตื้อขายของ  พวกคนขายของเขาก็มาตามตื้อตลอดตั้งแต่ลงจากรถแนะค่ะ ก็มีชายคนหนึ่งมอมแมม
มากเขามาขายขลุ่ยให้กับอ.เจน ซึ่ง อ.เจน ก็มีความชอบเป็นส่วนตัวในวัยเด็กชอบเป่าขลุ่ย สายตาแบบ
อยากได้เขาก็บอกขาย 500 บาท ส่วนชายอีกคนก็มาตามขายหมากรุกทำด้วยไม้ ให้คุณรุ้ง บอกขาย400 บาท
ส่วนดิฉัน ไม่คิดซื้อไรสักอย่าง  สายตาคนที่อยากได้ก็จะมี อ.เจน กับ คุณรุ้ง แต่คนที่ตามตื้อขายของ 2 สิ่งนี้
กลับมาเดินตีที่แขนดิฉันอย่างเจ็บเชียวค่ะดิฉันจะเดินไปไหนเขาก็มาตี ตี ตี อยู่อย่างนี้ ตีบอกราคาอยู่อย่างนี้
และก็มาเดินตามอยู่กับดิฉันตลอดทางเดิน  ไม่ไปตีแขน อ.เจน กับคุณรุ้ง บ้างเลย งง จริง ๆจนดิฉันเจ็บแขน
สุดจะทนก็ไปฟ้อง อาจารย์ทั้งสองว่า ดูซิมาตีจี๊ดคนเดียวอีกแล้วอาจารย์ทั้งสองก็ยิ้มขำดิฉันอยู่นั่นแหละ เออ
คนอยากได้ไม่ไปตื้อ  สุดท้ายตอนขากลับคนขายขลุ่ยบอกขาย 200 บาท อ.เจนก็ซื้อค่ะ ด้วยความดีใจที่
ได้ลดจาก 500 บาท จนเหลือ 200 บาท แล้วขึ้นรถ  ส่วนหมากรุก ดิฉันก็อยากได้ด้วยเหมือนกัน
เพราะเมื่อก่อนก็เป็นเซียนหมากรุกและก็เกิดความสงสารต่อเล่นๆ 100 บาท  เขาก็ขายให้คุณรุ้ง 1 อัน ดิฉัน 2 อัน
น้องมิ้งเตือนว่าถ้าใครซื้อของขึ้นรถห้ามถามกันว่าใครซื้อได้เท่าไหร่ แต่คุณแหม่ม ก็ถามขึ้นมาว่าอ.เจน
ซื้อขลุ่ยเท่าไหร่ค่ะ อ.เจน ตอบ 200 บาท คุณแหม่ม บอกว่าอยากได้เมื่อกี้คนที่ขาย อ.เจน ให้แหม่ม 100 บาท
แหม่มไม่ซื้อ นี่ตั้ง 200 บาท เชียว อ้าวจบมั้ย สุดท้ายคุณแหม่มขอซื้อจาก อ.เจน ไปให้ลูกสาว 200 บาทก็ได้ค่ะ

ศุกร์ที่ 20ธันวาคม 2556
วันเดินทางกลับไกด์ แจ้งว่า วันนี้เดินทางกลับเราจะรับประทานอาหารกลางวันที่ห้องรับรองของสนามบิน
อันนี้เป็นปัญหาของคุณแหม่มที่กระซิบกับดิฉันว่า เราได้ช้อปกระจายจนเหลือเงินอยู่5 บาท ค่ะ 5 บาทจริง ๆ
ซึ่งดิฉันก็เห็นใจค่ะคุณแหม่มช้อปเก่งมากมีความสามารถพิเศษสูงมากแม้เงินตนเองที่ขนมามากมายและหมดไปแล้ว
แต่ก็ยังมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการไปช่วยเขาต่อรองราคาคุณแหม่มบอกสนุกมากๆ ค่ะ  
ดังนั้นดิฉันจึงยกมือถามว่า คำถามคือ แล้วมื้อนี้ทางทัวร์จ่ายให้หรือเปล่าค่ะ คือเพื่อนเหลือเงินอยู่5 บาทแล้ว
คำตอบ ค่ะทางทัวร์จ่ายให้ไม่ต้องกังวลใจนะค่ะ เฮ้อ ขำไม่ออกค่ะ

เกล็ดเล็กเกล็ดน้อย
- อ.เจนได้รับเชิญเป็นวิทยากรพิเศษ เป็นผู้นำบุญทัวร์ ทางบริษัททัวร์ก็ให้เกียรติอาจารย์เป็นอย่างมาก
- พบกัลยาณมิตรที่เป็นเพื่อนเดินทางที่ดีค่ะอ.เจน ก็ได้เห็นถึงความตั้งใจมางานนี้ ล้วนแต่เป็นผู้เคยมา
ทัวร์บุญของ อ.เจน ทั้งนั้นค่ะ
-การอยู่ร่วมกันในช่วง 5 วันนี้ ก็เปรียบเสมือนครอบครัวเล็ก ๆ ที่อบอุ่นค่ะ  แม้จะไม่รู้จักกันแบบคนคุ้นเคย
แต่ทุกคนก็มีส่วนร่วมบุญด้วยกันค่ะอ.เจน มีความสุขและปิติใจมากค่ะ ที่ได้เห็นทุกคนที่ไปต่างก็มีความสุข
คิดแต่เรื่องบุญและยิ้มแย้มเป็นมิตรกันค่ะ  
- บรรดาลูกศิษย์ติดตามที่ไปร่วมบุญกันอย่างไม่ว่างเว้น คนหน้าเดิม งานนี้ก็มี คุณมิตร  คุณต้นโพธิ์ น้องเบริ์ด
น้องพิณ ฯลฯ และอีกหลายคนถ้าจะเอ่ยก็ครบพอดียี่สิบกว่าคน  แม้จะอยู่ต่างแดนทุกคนก็คอยช่วยเหลืออ.เจน
เป็นอย่างดี
อ.เจน  ใช้พลังจิตช่วยเหลือคุณมิตร
- อ.เจนได้ช่วยเหลือคุณมิตร ให้รอดพ้นจากเจ้ากรรมนายเวรเล่นงานปางตาย  คุณมิตร เป็นคนที่ อ.เจน ห่วงมากที่สุด
แต่ด้วยความตั้งใจของคุณมิตร พวกเราก็รับปากว่าไม่ต้องเป็นห่วงถ้าตั้งใจไปอินเดีย เพราะว่าคุณมิตรจะเจ็บป่วยมาก
ทุกครั้งที่ไปงานบุญพวกเราจะสังเกตว่าเป็นอย่างนั้น แล้วเมื่อ อ.เจน สแกนดูจึงพบว่า อดีตชาติคุณมิตรเป็นพ่อค้า
ขายยารักษาโรคแต่ขูดรีดเงินทองจากลูกค้าผู้ป่วย หรือบางทีก็ไม่ขายยาให้เขาพวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานแล้ว
จึงเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคุณมิตร  หากคุณมิตรทำบุญครั้งใดเขาก็จะมารบกวนให้เจ็บป่วยไม่สามารถไปทำบุญ
ได้แต่คุณมิตรเป็นคนที่อดทนมากค่ะ บางครั้งเห็นไม่ไหวคุณมิตรจะนอนไปกับพื้นเลยค่ะมาครั้งนี้ก็เช่นกัน
อยู่ ๆ คุณมิตรก็เป็นลม หมดเรี่ยวแรงอย่างกะทันหัน แต่พวกเราต้องรับผิดชอบค่ะเมื่อคุณรุ้งและดิฉันเห็นถ้าไม่ดี
จึงไปบอก อ.เจน ซึ่ง อ.เจน ก็ไม่รอช้าใช้พลังจิตช่วยเหลือ อ.เจน บอกว่า หมดพลังไปมากเพราะต้องการให้
คุณมิตรหายค่ะ แต่ตัวคุณมิตรก็ต้องอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรของคุณมิตรด้วยค่ะแปลกแต่จริง
คุณมิตรหายจากอาการเจ็บป่วยทันทีค่ะและสามารถไปทำบุญในวันนั้นได้  และคุณมิตรได้บอกกับดิฉันว่า
ตั้งแต่กลับมาจากอินเดียยังไม่เคยมีอาการเจ็บป่วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว  คุณมิตรบอกว่า โดยปกติทุก ๆ เช้า
จะมีอาการมึนงงและปวดหัวก่อนทำงานทุกครั้ง แต่ปัจจุบันไม่มีอาการดังกล่าวเลยค่ะ
เคยมีคนเขาบอกว่า ใครไปอินเดียไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า แต่ อ.เจน คุณรุ้งและดิฉันคิดว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต
ขอให้ได้ไปอินเดียไม่เสียดายเลยค่ะ
คณะผู้เดินทางที่ไปมีใครบ้างก็ดูกันเอาเองนะค่ะในรูปที่ดิฉันจะนำมาลงให้ในภายหลังค่ะ เนื่องจากป่วยจึงเพิ่งมาเล่าเรื่องได้
แต่เสียดายลืมๆ ไปหลายเรื่องก็คงมีพี่น้องๆ ใครอยากมาแชร์ความรู้สึกก็มาแชร์กันได้ค่ะ
*****รอชมภาพความประทับใจรอฝ่ายศิลป์ลงรูปภาพก่อน...นะค่ะ******
จบ...จร้า...

260

กระทู้

2456

โพสต์

7185

เครดิต

สมาชิก.

Rank: 7Rank: 7Rank: 7

เครดิต
7185
เย้ๆๆๆๆๆ พี่จ๊ดมาแล้ว  เดี๋ยวกลับมาอ่านนะครับ ดูละครสักครู่คราบบบบ
ปฏิปุจฉาวินีตา ปาริสา โน อุกกาจิตวินีตา
ศรัทธา ศีล วิริยะ สติ สุตตะ พหูสูต จาคะ หิริ โอตตัปปะ สมาธิ ปัญญา

31

กระทู้

665

โพสต์

5432

เครดิต

สมาชิก..

Rank: 8Rank: 8

เครดิต
5432
โมทนาบุญกับพี่จี๊ดและผู้ร่วมคณะทุกท่านด้วยนะคะ

และขอบคุณพี่จี๊ดมาก ๆ ที่สละเวลานำเรื่องมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ทำให้คนที่ไม่ได้ไป พอจะนึกภาพออกและร่วมรับรู้ไปกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ธรรมะคือคุณากร

260

กระทู้

2456

โพสต์

7185

เครดิต

สมาชิก.

Rank: 7Rank: 7Rank: 7

เครดิต
7185
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย narutogetbird เมื่อ 2014-1-14 00:54

สักครั้งหนึ่งในชีวิตที่เป็นความตั้งใจคือผมอยากจะไปอินเดียครับ แต่ด้วยเราก็ไม่รู้จะไปยังไง ไม่มีเพื่อนไปแต่คิดว่าสักครั้งหนึ่งเราจะไปให้ได้ ก็เลยได้ไปจริง ด้วยครั้งนี้คิดว่าอยากไปจริงๆ ครับ ก็เลยตัดสินใจไปครับและก็ไม่ผิดหวังจริงๆๆ

พระพุทธเจ้าท่านทรงอุบัติขึ้นมาบนโลกคือการมาแก้ ความแก่ เจ็บ ตาย ให้เราพ้นจากความตาย คือการไปสู่นิพพาน ซึ่งไม่ต้องมาเกิดอีก ลักษณะของนิพพานผมก็ได้มาลงไว้บ้างแล้วนะคับในห้องธรรมะ ลองไปหาอ่านดูได้ครับ

ขอให้เราอุบาสกอุบาสิกาผู้ประพฤติพรหรมจรรย์ทุกท่านได้น้อมธรรมที่พระสมณะโคดมท่านทรงประกาศไว้นั้นคือ อริยสัจ ๔
๑. ทุกข์
๒. สมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์)
๓. นิโรธ (การดับทุกข์)
๔. มรรค ( ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ มรรค๘)


ส่วนในเรื่องของการทำสมาธินั้นที่เหล่าเทวดาที่ดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาบอกกับอาจารย์ว่า ให้เราทำสมาธิโดยการดูลมหายใจนั้น ก็เป็นธรรมที่พระตถาคตทรงบอกไว้นั้นเองครับในเรื่องของการทำสมาธิโดยอานาปานสติ


"ภิกษุทั้งหลายเมื่อลมหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่าลมหายใจเข้ายาว เมื่อลมหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่าลมหายใจออกยาว เมื่อลมหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่าลมหายใจเข้าสั้น เมื่อลมหายใจออกสั้นก็รู้ชัดเมื่อลมหายใจออกสั้น ทำความรู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวงหายใจเข้า ทำความรู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวงหายใจออก ทำจิตสังขารให้รำงับอยู่หายใจเข้า ทำจิตสังขารให้ระงับอยู่หายใจออก" นี่เป็นแค่บางพระสูตรที่พระองค์ทรงตรัสไว้เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีนะครับ การทำสมาธิที่ถูกต้องนั้นไม่ต้องมีคำบริกรรมใดๆๆ ไม่ต้องเอาจิตไปไว้ที่ไหน ให้ดูลมหายใจอย่างละเอียด ตามดูลมหายใจนั้นเองครับ



แสดงความคิดเห็น

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ  โพสต์เมื่อ 2014-11-27 12:53
ปฏิปุจฉาวินีตา ปาริสา โน อุกกาจิตวินีตา
ศรัทธา ศีล วิริยะ สติ สุตตะ พหูสูต จาคะ หิริ โอตตัปปะ สมาธิ ปัญญา

อัพเกรด  11.42%

0

กระทู้

220

โพสต์

1014

เครดิต

Master

Rank: 4

เครดิต
1014
5#
โพสต์เมื่อ 2014-1-14 00:32:57 | แสดงเฉพาะโพสต์ของสมาชิกนี้
ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยค่ะ สาธุ

260

กระทู้

2456

โพสต์

7185

เครดิต

สมาชิก.

Rank: 7Rank: 7Rank: 7

เครดิต
7185
6#
โพสต์เมื่อ 2014-1-14 00:54:39 | แสดงเฉพาะโพสต์ของสมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย narutogetbird เมื่อ 2014-1-14 00:56

การทำสมาธิสามารถใช้มรรคหลายวิธีเกี่ยวกับอานาปาสนติ คือ
๑. เราสามารถเจริญอานาปานสติโดยใช้หลักสติปฐาน ๔
  ๑.๑ ตามเห็นกายใจกายอยู่เป็นประจำ คือการนำจิตดูลมหายใจนั่นเอง ครับ ซึ่งตรงกับที่เหล่าเทวดามาบอกกับอาจารย์เจนที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ครับ
  ๑.๒ ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ คือ การรู้ซึ่ง สุข ทุกข์ และอทุขมสุข(อุเบกขา)ครับ
  ๑.๓ ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ คือ การรู้ว่าจิตฉันกำลังรู้ลมหายใจนั้นเองครับ
  ๑.๔ ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ คือ การรู้ว่าเมื่อไหร่จิตของเราคิดเรื่องต่างๆๆ ปรุงแต่งอะไรไปทั้งเรื่องอดีต อนาคต หรือเกิด สุข เกิดทุกข์ ก็ให้รีบละสิ่งเหล่านั้น แล้วก็ให้กลับมาอยู่ที่ลมหายใจนั้นเองครับ
๒. เราสามารถเจริญอานาปานสติโดยการใช้หลักปฏิจสมุปบาทครับ
๓. เราสามารถเจริญอานาปานสติโดยการใช้หลักพิจารณาขันธ์ ๕ คือ
  ๓.๑ รูป (ให้ตั้งจิตไว้กับกายนั้นเองคือลมหายใจครับ)
  ๓.๒ เวทนา
  ๓.๓ สัญญา
  ๓.๔ สังขาร
  ๓.๕ วิญญาณ
     พระพุทธเจ้าท่านทรงอยู่วิเวกหลีกเร้นผู้เดียวพระองค์ทรงอยู่วิหารธรรมนี้เป็นส่วนมากนั้นคือ อานาปาสติครับ เราจงภูมิใจเถิดครับ ว่านี่เป็นทางแก้กรรมที่ดี ที่เริสที่สุด ไม่มีการแก้กรรมที่ไหนจะใช้ได้ผลเท่าวิธีนี้แล้วครับ เหมือนอย่างที่ลัทธิต่างๆๆ ถือว่าการปลงบาปต้องลงแม่น้ำคงคาแล้วบอกว่าบาปนั้นหมดแล้ว ซึ่งพระตถาคตก็ได้ทรงบอกไว้แล้วว่า กรรมนั้นเกิดจาก ผัสสะ กรรมดับไปได้ก็เพราะผัสสะ วิธีแก้กรรมคือ ทาน ศีล ภาวนา หรือ สมถะ และวิปัสสนา หรือ อานาปานสติ นั้นก็คือ อริยมรรค มีองค์ ๘ ประการที่อยู่ในหัวข้อ สัมมาสมาธินั่นเองครับ

เห็นไหมครับว่าทำไมพระองค์ถึงอยากให้เราหลุดพ้นจากระบบของการเกิดแก่ เจ็บ ตาย ก็เพราะว่า สัตว์มีแต่ความทุกข์นั้นเอง ไม่มีอะไรที่จีรัง ยั่งยืน เพราะฉนั้นแล้วอย่ารอช้าเลยครับ หมั่นนั่งสมาธิกันให้มากๆๆ แล้วจะเกิดปัญญาเอง ครับ มันจะทำให้เราอยู่อย่างเข้าใจธรรมมากขึ้น และจะทำให้เราอยู่อย่างมีความสุขด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้าของเรา

ขอให้ทุกท่านได้เจริญในธรรมกันนะครับ ขั้นต่ำก็ขอให้เป็นโสดาบันกันทุกๆๆ ท่าน เพราะโสดาบันนั้นจะไม่มีคำว่าตกต่ำแน่นอนครับ
โสดาบันจะเกิดอีกไม่เกิน ๗ คราว
๑. โสดาบันพวกที่เกิดเพียงครั้งเดียว คือ เอกพีชี
๒.โสดาบันพวก คือ พวก โกลังโกละ คือ เกิดอีกไม่เกิน ๒ ถึง ๓ คราว และจะสามารถทำที่สุดแห่งทุข์ได้
๓. โสดาบันพวก สัตตะขัตตุปรมะ คือพวกที่เกิดเป็น เทเวจะ มนุเสจะ คือ เกิดเป็นทั้งเทวดาบ้าง มนุาย์บ้างไม่เกิน ๗ คราว แล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้   สาธุ
ปฏิปุจฉาวินีตา ปาริสา โน อุกกาจิตวินีตา
ศรัทธา ศีล วิริยะ สติ สุตตะ พหูสูต จาคะ หิริ โอตตัปปะ สมาธิ ปัญญา

อัพเกรด  0.22%

0

กระทู้

36

โพสต์

510

เครดิต

Master

Rank: 4

เครดิต
510
7#
โพสต์เมื่อ 2014-1-14 00:59:19 | แสดงเฉพาะโพสต์ของสมาชิกนี้
อนุโมทนากับอาจารย์เจนพี่จิ้ดพี่รุ้งและทุกท่านที่ไปร่วมทริปบุญครั้งนี้ด้วยค่ะะ อ่านตามแล้วรู้สึกปิติตามเลยค่ะะ ขอบคุณมากค่ะ

อัพเกรด  10.98%

2

กระทู้

316

โพสต์

994

เครดิต

Master

Rank: 4

เครดิต
994
8#
โพสต์เมื่อ 2014-1-14 07:07:17 | แสดงเฉพาะโพสต์ของสมาชิกนี้
ขอร่วมอนุโมทนาสาธุกับอาจารย์เจนคุณรุ้งและพี่จี๊ดและผู้ร่วมเดินทางในคณะทุกคน อยากให้อาจารย์เจนจัดไปทัวร์อินเดียเองบ้างครับ

อัพเกรด  67.36%

2

กระทู้

1078

โพสต์

3531

เครดิต

Master

Rank: 4

เครดิต
3531
9#
โพสต์เมื่อ 2014-1-14 07:11:01 | แสดงเฉพาะโพสต์ของสมาชิกนี้
ชอบมากค่ะ เรื่องยาวแค่ไหนก็จะอ่านให้หมดเลยค่ะ ต้องขอบคุณพี่จี๊ดมากๆ เลยค่ะที่นำเรื่องราวดีๆ มาเล่าสู่กันฟังอยู่เสมอ ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

อัพเกรด  24.73%

16

กระทู้

202

โพสต์

1613

เครดิต

Master

Rank: 4

เครดิต
1613
ขออนุโมทนากับอาจารย์เจนและทุกท่านที่ไปร่วมทริปบุญครั้งนี้ด้วยครับ

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับโพสต์นี้ได้ เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

รายชื่อผู้กระทำผิด|อุปกรณ์เคลื่อนที่|Archiver|อาจารย์เจน.com

GMT+7, 2024-4-28 14:41 , Processed in 0.209879 second(s), 24 queries .

Copy right © 2013 อาจารย์เจน.com.

Web Design By modifydiscuz.com

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้