คุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต 1. มีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป 2. อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 60 ปีบริบูรณ์ ( ถ้าเป็นผู้บริจาคครั้งแรกต้องอายุไม่เกิน55 ปี) 3. มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่อยู่ระหว่างไม่สบายหรือรับประทานยาใดๆ 4. ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศหรือติดยาเสพติด 5. สตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา การเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต-นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย6 ชั่วโมงต่อเนื่อง ในเวลาปกติคืนก่อนวันบริจาค -รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กเพิ่ม-รับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากจะทำให้สีของพลาสมาผิดปกติเป็นสีขาวขุ่นไม่สามารถนำไปใช้ได้ -ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เช่น น้ำผลไม้ นม น้ำหวานเพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน เช่น มึนงง อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศีรษะภายหลังบริจาคโลหิตหลีกเลี่ยงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน -งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย24 ชั่วโมงก่อนบริจาค -งดสูบบุหรี่ ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี ขณะบริจาคโลหิต -สวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่คับเกินไปสามารถดึงขึ้นเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว -เลือกแขนข้างที่เส้นโลหิตดำใหญ่ชัดเจนที่สามารถให้โลหิตไหลลงถุงได้ดี ผิวหนังบริเวณที่จะให้เจาะ ไม่มีผื่นคัน หรือรอยเขียวช้ำถ้าแพ้ยาทาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้า -ทำตัวตามสบาย อย่ากลัวหรือวิตกกังวล -ไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอมขณะบริจาคโลหิต -ขณะบริจาคควรบีบลูกยางอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้โลหิตไหลได้สะดวก หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น วิงเวียน มีอาการคล้ายจะเป็นลมอาการชา อาการเจ็บที่ผิดปกติ ต้องรีบแจ้งให้พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นทราบทันที-หลังบริจาคโลหิตเสร็จเรียบร้อย ห้ามลุกทันที ให้นอนพักสักครู่จนกระทั่งรู้สึกสบายดีจึงลุกไปดื่มน้ำ และรับประทานอาหารว่างที่จัดไว้รับรอง
|