แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย จี๊ดจ๊าด เมื่อ 2013-10-22 13:21
บุญ ดี ดี กับช่วงจังหวะว่าง อ.เจน จึงได้ไปร่วมบุญถวายพระพุทธรูปปรางลีลาณ จ.พระนครศรีอยุธยา
ผู้ใจบุญท่านหนึ่ง (ขอสงวนชื่อค่ะอ) ซึ่งมีความศรัทธาและเชื่อมั่นในการทำความดีของอ.เจน จึงได้โทรศัพท์มาแสดงความจำนงว่า จะทำการถวายพระพุทธรูปปรางลีลาเลี้ยงพระเพล และถวายมหาสังฆทาน ด้วยมีความจำนงที่จะสร้างพระถวายวัดเป็นพระปรางลีลา องค์ใหญ่ค่ะ ตั้งชื่อว่า “พระพุทธประทานพรนฤมลวิมุตติ” แปลได้ดังนี้ค่ะ นฤมล แปลว่า “ไม่มีมลทิน” , วิมุตติ แปลว่า “ความหลุดพ้น” ซึ่งแปลรวมๆกันได้ว่า“พรบริสุทธิที่ไร้มลทินไปสู่เส้นทางที่หลุดพ้น”
ด้วยใจที่ตั้งมั่นวันนั้นจำได้ว่าเป็นวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนาพวกเราดีใจกันมากโดยเฉพาะ อ.เจน เพราะทราบดีว่าการได้สร้างพระพุทธรูปถวายวัดมีอานิสงส์สูงมาก นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงภัตตาหารพระเพล และถวายมหาสังฆทาน ซึ่งเป็นบุญที่หาทำได้ยากมาก และเป็นวันแรกที่ทุกคนหยุดพักผ่อนจึงยินดีที่จะไปร่วมงานนี้
กำหนดการนำพระพุทธรูปนี้ไปประดิษฐานไว้ที่ วัดตะหนุ ต.หันสังอ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น-ตอนกลาง ซึ่ง แม่ตี้ อ.เจนคุณรุ้ง ดิฉัน และทีมงาน เดินเข้าไปแล้วรู้สึกได้ถึงความเก่าแก่ของสถานที่เหมือนมีมนต์ขลังบอกไม่ถูก เหมือนคุ้นเคยกับสถานที่คุณเคยเป็นบ้างมั้ยค่ะว่าเราไปสถานที่ที่เหมือนว่าเราได้เคยมาที่นี่แล้วอาการอย่างนั้นแหละค่ะ ที่นี่มีเจดีย์และกำแพง ที่เก่าแก่มาก และมีร่องรอยการถูกเผาทำลายด้วยไฟสงครามที่ทราบก็เพราะว่าเมื่อแรกเดินทางมาถึงวัดตะหนุ บริเวณโดยรอบเงียบสงัดไม่มีผู้คนสัญจรไปมา พระสงฆ์จำวัดอยู่ไม่กี่รูประหว่างที่แม่ครัวที่ผู้ใจบุญจ้างมาจัดเตรียมอาหารถวายพระดิฉันก็เดินเล่นอยู่รอบนอกศาลา และแล้ว อ.เจน ก็พลันไปได้ยินเสียงเรียกว่า “มาทางนี้ๆๆๆๆๆ”อ.เจน ก็หันมาพูดกับพวกเราว่า มีเสียงเรียก “ให้เดินไปทางนี้” อ.เจน ก็หันมาบอก คุณแม่ตี้คุณรุ้ง และดิฉัน ดิฉันจึงรีบพูดขึ้นไปทันทีด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นนิสัยค่ะก็ชิงพูดขึ้นว่า อ.เจน ถ้างั้นก็อย่าเพิ่งเข้าศาลาเลยค่ะเรายังพอมีเวลาไปตามทางเสียงบอกกันเถอะค่ะคุณรุ้งก็พยักหน้าเห็นด้วยและก็ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของดิฉันเองก็เดินขนาบสีข้าง อ.เจนเพื่อรอรับฟังฟังคำบอกเล่าจาก อ.เจน ซึ่งก็ได้เรื่องจริง ๆ ค่ะ
อ.เจน ก็พูดตามที่เห็นด้วยญาณวิถีว่า ครั้งหนึ่ง ณวัดแห่งนี้ เคยเป็นสถานที่สวยงดงามมาก เจดีย์ประดับประดาไปด้วยเงิน ทองและเพชรนิลจินดา กำแพงสร้างด้วยแก้วและทองแวววาว เป็นสมัยที่อยุธยารุ่งเรืองมาก แต่ปัจจุบันไม่ทิ้งร่องรอยของความสวยงามนั้นเลยจนเกือบจะเป็นวัดร้างเสียด้วยซ้ำค่ะนอกจากนี้ อ.เจน ยังพูดขึ้นด้วยว่าเหตุที่พวกเราได้มาในวันนี้ก็เป็นเพราะว่าเราได้เป็นทหารร่วมสู้รบกันในสงครามตั้งค่ายอยู่ณ วัดแห่งนี้ และครั้งนี้ก็เป็นสัญญาที่เราต้องมาที่นี่อีกครั้ง อ.เจนเองก็รู้สึกเศร้าใจลึก ๆ ค่ะ ส่วนดิฉันกับคุณรุ้งก็เป็นพวกเลือดรักชาติรุนแรงอยู่แล้วยิ่งเศร้าใจยิ่งกว่ามิน่าเล่าเมื่อย่างเท้าเข้ามาที่นี้ความรู้สึกเศร้าเปล่าเปลี่ยวหัวใจไม่น้อยค่ะเพราะสถานที่วัดนี้ช่างแห้งแล้งมีเพียงโบสถ์เก่าแก่ พระพุทธรูปพระประธานที่มีรอยแตกร้าวพระทุกองค์ภายในโบสถ์เก่า เต็มไปด้วยยักไย่ ขี้ฝุ่น เกาะเต็มองค์พระพุทธรูปพวกเราก็เลยช่วยกันกวาด และนำผ้าที่มีอยู่ในรถของ อ.เจนมาเช็ดถูพระพุทธรูปให้สะอาดตายิ่งขึ้น พระที่วัดนี้ท่านก็อยู่ของท่านตามอัตภาพค่ะ
ซึ่ง อ.เจน บอกว่านี่เป็นเสียงของเทวดาท่านต้องการให้เราไปดูอะไรบางอย่างค่ะในขณะที่พวกเราเดินตามไปเสียงนั้น เทวดาท่านให้เดินไปตามเสียงท่านไปเมื่อเดินไปถึงบริเวณโบสถ์เก่านี้อ.เจน ก็ยังไม่รู้ว่าให้ดูอะไร ซึ่งลักษณะโบสถ์เป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าประตูและหน้าต่างเก่าแก่มากๆ บานหน้าต่างเป็นไม้สักอย่างดีแต่เก่ามากไม่มีรอยผุพังทาด้วยสีแดงโบราณประตูหน้าหันไปทางทิศตะวันออก เมื่อพวกเราเดินมาถึงหน้าโบสถ์เก่านี้แล้ว อ.เจนก็ได้ยินเสียง พูดว่า “ให้ตั้งวางพระปรางลีลา ณ ตรงนี้” คือด้านหน้าประตูทิศตะวันออกที่ได้มีการสร้างฐานปูนรองรับไว้แล้วเหมือนกับว่าสร้างไว้รองรับพระพุทธรูป (ซึ่งก็เป็นจริงค่ะ) ในขณะที่ อ.เจน ยืนพิจารณาแล้วก็คิดไปว่าทำไมเทวดาจึงมาบอกว่าต้องประดิษฐานพระพุทธรูปที่นำมาตรงที่แห่งนี้ขณะที่ อ.เจน และพวกเราก็ตั้งข้อสังเกตว่าเสียงบอกให้ตั้งพระพุทธรูปตรงหน้าโบสถ์นี้ทำไมต้องตรงนี้ ขณะที่กำลังยืนคิดกันอยู่นั้น ก็มีลมพัดกรรโชกแรงมากจนทำให้ต้นไม้บริเวณนั้น(ส่วนมากเป็นต้นโพธิ์) ใบไม้ต่างก็ปริวไสว และไม่น่าเชื่อว่า ต้นไม้โอนไหวกันไปมา ทั่วบริเวณที่พวกเรายืนกันอยู่หน้าโบสถ์ตัวเราเองก็เย็นสบายในขณะนั้นที่มีแสงแดดเปรี้ยงๆ แต่ลมพัดมาช่างเย็นสบายเสียเหลือเกิน เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็ตอนที่ลมที่พัดกรรโชกวูบที่หนึ่งและวูบที่สอง หยุดกึกเลยค่ะไม่มีวูบที่สามนะค่ะ ทุกสิ่งสงบเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนหน้าที่เลยบรรยากาศช่างเงียบสงบมากๆ พวกเราต่างก็งงงันต่อแหตุการณ์นี้เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดค่ะก็เรากำลังตกใจว่าลมอะไรพัดแรงอย่างนี้เพียงสองวูบแล้วก็เงียบสงบซะงั้น
หายงงก็ตอนที่ อ.เจน เดินเข้ามาบอกว่า พี่เทวดาท่านมาแสดงฤทธิ์ให้พวกเรารับรู้และยินดีพร้อมอนุโมทนาบุญกับพวกเราที่มาทำบุญใหญ่ที่นี่ค่ะอ๋อ ค่อยยังชั่วนึกว่าผีหลอกกลางวันค่ะ อ.เจน พูดว่า วันนี้ พวกเราได้ร่วมกันถวายพระปรางลีลาให้วัดที่ยังขาดเท่ากับว่าเราได้ช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาค่ะ และได้เลี้ยงภัตตาหารและมหาสังฆทานครบหมวดกันเลยทีเดียวแต่คำถามในใจทำไมพวกเราจะต้องที่นี่เป็นคำถามค่ะ และทำไมต้องมาสร้างพระถวายไว้ตรงนี้เพราะเหตุใดและเพราะเหตุใดจึงมีแท่นวางพระพุทธรูปตรงนี้เจ้าอาวาสก็ไม่ได้ทราบมาก่อนว่าจะถวายพระปรางไหน แจ้งแต่ว่าจะมาถวายพระพุทธรูป เมื่อพวกเราได้เห็นแท่นฐานพระที่จะวางประดิษฐานแล้วช่างพอดิบพอดีกับฐานพระปรางลีลามากจึงไปแจ้งแก่เจ้าอาวาสวัดว่า ถ้าหากพวกเราจะตั้งประดิษฐานพระตรงบริเวณหน้าโบสถ์จะได้หรือไม่(ไม่ได้บอกเจ้าอาวาสว่าเสียงเทวดาบอกให้ตั้งตรงนี้)
น่าประหลาดใจยิ่ง เมื่อท่านเจ้าอาวาสวัดท่านได้รับแจ้งเจตนาจัดวางพระที่หน้าโบสถ์ท่านก็เดินตามมาดู ท่านจึงเอ่ยขึ้นว่า ได้ซิโยม พอดีเชียวนะนี่ เพราะแต่เดิมทีมีท่อน้ำประปาอยู่ตรงนี้แตกและซ่อมแซมแล้วแต่ท่านเกรงว่าจะไม่สวยงามจึงได้สร้างเป็นฐานนี้ขึ้นมายังคิดอยู่ว่าต้องนำพระมาตั้งตรงนี้ให้เหมาะสมอาตมาไม่นึกเลยว่าจะมาเป็นที่ตั้งของฐานพระที่พวกโยมนำมาถวายในวันนี้ แปลกมั้ยละค่ะทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญจริง ๆ อย่างที่ อ.เจน เคยพูดเสมอ ๆ
ภายในโบสถ์ มีพระพุทธรูปนั่งสมาธิองค์สีขาวที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถและมีรอยร้าวที่องค์ท่านด้วยทางวัดยังขาดปัจจัยทำนุบำรุงโบสถ์อยู่มากจำเป็นต้องบูรณะปฎิสังขรณ์วัดในส่วนที่สำคัญก่อน
อ.เจน ได้เห็นในญาณวิถีว่า ในอนาคตกาลข้างหน้า ต่อไปวัดนี้จะเจริญรุ่งเรืองเพราะจะมีคนที่มีบุญญาธิการมาให้การช่วยเหลือสนับสนุน แต่ในตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาและรู้ด้วยญาณวิธีว่าผู้ที่มาร่วมบุญกันในวันนี้ อดีตชาติหนึ่งได้เป็นทหารไทยรับใช้ชาติบ้านเมืองมาด้วยกันและการที่ได้มาร่วมบุญกันครั้งนี้ก็มิใช่เรื่องบังเอิญทุกอย่างเขาจัดสรรมาไว้ให้แล้วมันเป็นวาระค่ะ
กรรมในอดีตชาติของ อ.เจน ต้องมีเคราะห์ในวันนี้ระหว่างการช่วยกันยกองค์พระพุทธรูป อ.เจน และลูกศิษย์ก็ไปช่วยยกองค์พระ ขณะที่ช่วยกันยกพระเพื่อนำมาประดิษฐานที่ใหม่นั้นอ.เจน ก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้เหล่าเทวดามาช่วยยกด้วย ซึ่ง อ.เจน พูดว่าทำให้เบาได้จริงๆค่ะในขณะนั้น ดิฉันและแม่ตี้ เห็นว่า อ.เจน ใช้มือสอดอยู่ใต้ฐานพระเกรงว่ามือจะไปครูดกับหินฐานพระก็ร้องตะโกนบอกอาจารย์ๆ ระวังมือๆ ตะโกนกันสองเสียง แต่ปรากฏว่า อ.เจน ไม่ยอมปล่อยมือออกตามเสียงของแม่ตี้และดิฉันเลยทุกคนก็หันไปเห็นด้วยก็ร้องตะโกน อ.เจน ก็ไม่ยอมปล่อยมืออยู่ดี และแล้วก็เกิดเหตุจนได้มือของ อ.เจน ครูดเข้ากับฐานพระ เลือดไหลออกมาไม่หยุดทีข้อนิ้วมือของ อ.เจนทุกนิ้ว อ.เจน เจ็บอย่างแสนสาหัส แม่ตี้ ก็บ่น ดิฉันก็บ่น ว่า อ.เจนทำไมไม่ปล่อยมือ คุณรุ้ง ก็ช่วยทำแผล อ.เจนน้ำตาไหลด้วยความเจ็บและอดทน เมื่อทำแผลเสร็จแล้ว อ.เจน จึงพูดขึ้นว่าหนูยอมเจ็บในครั้งนี้ดีกว่าจะต้องบาดเจ็บในอนาคต เพราะมีเสียงครูบาอาจารย์พูดว่า “ให้รับเคราะห์กรรมเสียตรงนี้และบัดนี้” เพราะ อ.เจน รู้ในญาณวิถีว่า ในอดีตชาติตนเองเป็นแม่ทัพนายกองสั่งการให้ทหารทรมานนักโทษด้วยการใช้เหล็กตีที่มือของนักโทษเชลย(พม่า) มาวันนี้มาทำบุญใหญ่เขาให้ชดใช้ไปในครั้งนี้ ซึ่งดีกว่าไปเกิดอุบัติเหตุอย่างอื่น อ.เจน จึงจำเป็นต้องรับความเจ็บปวดในครั้งนี้
อ.เจน บอกว่า บุญส่วนบุญกรรมส่วนกรรมแยกออกจากัน บุญที่รับใช้ชาติบ้านเมืองก็ส่งผลให้ประสบแต่ความสุขความสำเร็จแต่กรรมมีก็ต้องชดใช้กรมจากการสั่งฆ่าศัตรู บางคนก็อาฆาตแรงค่ะ
ลูกแมว งอนดิฉันค่ะ ในระหว่างที่พระท่านสวดมนต์ แม่ครัวก็จัดวางภัตตาหารไว้อย่างเป็นระเบียบพร้อมถวายซึ่งขณะที่รอพระท่านสวดมนต์อยู่นั้น ก็มีลูกแมวตัวหนึ่งสีน้ำตาล มายืนด้อม ๆ มอง ๆปลาทู ค่ะ วันนี้มีน้ำพริกปลาทูค่ะ น่ากินมาก ๆ (อร่อยมากด้วยค่ะวันนั้น) ดิฉันก็จ้องเจ้าแม้วน้อยตัวนี้ไม่วางตามันจะมาตะปบปลาทูเสียเมื่อไหล่ก็ไม่รู้ แต่มันก็หันมาเมียงมองอยู่กับปลาทูในถาด ดิฉันคิดว่ามีนต้องตะปบปลาทูเป็นแน่จึงใช้มือตบพื้นไล่ลูกแมวตัวนี้ให้ไปให้ไกลห่าง ก็ตบๆ พื้น โบกมือไปๆลูกแมวตัวนี้ถอยหลังไป นั่งหันหลังแล้วก็หันมามองดิฉันอยู่อย่างนั้นดิฉันก็เห็นว่าแมวไปนั่งไกลแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก และแล้ว อ.เจนก็กระเทิบมากระซิบว่า พี่ๆ พี่ต้องไปขอโทษแมวตัวนั้นนะ เขาน้อยใจงอนพี่ เขาคิดว่าแค่มานั่งใกล้ๆ เองยังไม่ได้กินซะหน่อยมาไล่เขาเสียใจ อ้าว อ.เจนรู้ได้ไงค่ะว่ามันคิดอย่างนั้น อ.เจน บอกพี่เชื่อหนูเถอะพี่ไปขอโทษมันหน่อยมันเป็นกรรมนะพี่ เฮ้อ ดิฉันละอ่อนใจเจ้าแมวน้อยมางอนเราเสียนี่ ดิฉันก็เลยคราญไปหามันแล้ววกระซิบกับมันพร้อมลูบหลัง (ตบหัวแล้วลูกหลังคำโบราณเป็นอย่างนี้เองค่ะ)เจ้าแมวน้อยอย่าได้เสียใจไปเลยเราขอโทษนะนะ มันก็กระเทิบตัวไปกระดึบกระดึบเราก็ไปง้อเจ้าลูกแมวอีก คราวนี้มันก็เลยมาเคล้าเคลียอยู่กับเราเลย อ.เจนบอกว่าพี่เชื่อเถอะใจมันคิดอย่างนี้จริง ๆ ค่ะ เชื่อค่ะ จึงไปขอโทษมันนี่ไงค่ะอ.เจน ก็ขำ ๆ ดิฉัน ตัวดิฉันเองก็ขำ ๆตัวเองเหมือนกันค่ะวันนั้น
อ.เจน บอกว่า ลูกแมวตัวนี้แท้จริงแล้ว เป็นเด็กผู้หญิง ถักผมเปีย 2ข้าง ด้วยความเป็นเด็กก็เกิดอาการงอนๆที่ถูกไล่ให้ไปห่างๆ อาหารพระ ดังนั้น อ.เจนเห็นอย่างนั้นจึงได้บอกกับดิฉันตามภาพที่เห็นค่ะ เพราะลูกแมวตัวนี้เขาก็เป็นคนทำผิดแล้วมาเกิดเป็นสัตว์เมื่อพูดดีๆ กับลูกแมวตัวนี้ ก็หายโกรธหายงอนไปในที่สุดค่ะ พวกเราก็อยากรู้ว่าเจ้าแมวน้อยตัวนี้ตัวผู้หรือตัวเมียจนได้รู้ว่าเป็นตัวเมียจริงๆด้วยค่ะ
เหล่าสัมภเวสีดีใจกันยกใหญ่ที่ได้รับบุญจากพวกเราค่ะ หลังจากถวายพระพุทธรูปถวายสังฆทานและภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ ระหว่างที่ทำการกรวดน้ำอุทิศบุญอยู่นั้น ดิฉันก็ไม่ลืมเคยสอนของอ.เจน แม้สักครั้ง อ.เจน สอนว่าอะไรหรือค่ะ คงอยากรู้ขึ้นมาแล้วละซี ง่าย ๆ ค่ะเพียงแต่เราเป็นผู้ให้ คำนี้ค่ะ “ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าทำสำเร็จแล้วในในนี้ขออุทิศให้แก่เหล่าสัมภเวสีทั้งที่อยู่ใกล้และอยู่ไกลรู้จักก็ดี ไม่รู้จักก็ดี และพวกเปรตทั้งหลายจงมีส่วนได้ในกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำนี้ด้วยเถิด”ใครเป็นไงไม่รู้แต่ดิฉันทำตามอย่างเคร่งครัด ดังนั้น บางที อ.เจน และคุณรุ้งต้องนั่งรอดิฉันอยู่คนเดียวค่ะ เพราะยังอุทิศบุญไม่เสร็จซะทีค่ะ บางที อ.เจนกับคุณรุ้ง จะชอบล้อเล่นว่าให้ไปสามชาติเลยหรือพี่
อ.เจน กระซิบกับดิฉันว่า พี่พวกสัมภเวสีทั้งหลายตนเขายิ้มดีอกดีใจกันมากตอนแรกพวกเขามาในสภาพที่ผอมโซ ตัวซีด แต่เมื่อได้รับผลบุญจากพวกเรา พวกเขาก็อิ่มเอิบด้วยละอองบุญพวกเขาดีใจกันมากไม่ค่อยมีใครทำบุญแล้วนึกถึงพวกเขาเลยค่ะ เมื่อได้ยินอย่างนี้ก็ทำให้ดิฉันรู้สึกยินดีและอิ่มเอิบใจไม่แพ้พวกสัมภเวสีค่ะเพราะเราเป็นผู้ให้และเขาเป็นผู้ได้รับจิตเราก็เป็นสุขค่ะ เพราะทุกครั้งที่เราไม่ว่าจะไปทำบุญที่ไหนอ.เจน มักจะบอกให้พวกเรา กรวดน้ำให้กับเหล่าสัมภเวสีที่อยู่บริเวณวัดหรือสถานที่ที่เราไปทำบุญก็เพราะว่าส่วนใหญ่ไม่มีใครนึกถึงพวกเขานอกจากญาติของตนเองค่ะ และเรื่องจริงที่เราต้องยอมรับบรรดาญาติของเราจะอุทิศบุญให้เราช่วงที่ตายใหม่ๆหลังจากนั้นก็จะค่อย ๆ ลืมเลือนไปในที่สุดค่ะ ทำให้พวกสัมภเวสีทั้งหลายต้องเร่ร่อนขอส่วนบุญจากผู้อื่นแทนค่ะน่าสงสารค่ะ
ข้อคิดเตือนใจ เมื่อเรามีชีวิตอยู่เราก็เร่งสะสมบุญไปเถอะค่ะอย่ารอให้เราไม่ได้มีโอกาสทำบุญ เพราะเวลานั้นเราอาจต้องนอนอยู่กับที่หรือไม่มีโอกาสนอนกับที่คือได้ตายไปจากโลกนี้แล้วและต้องมารอคอยขอส่วนบุญเศษบุญจากผู้อื่น เขาให้บ้างไม่บ้างเพราะไม่ใช่ญาติของเราและคนส่วนมากก็ไม่แบ่งบุญให้ใครเพราะกลัวบุญจะหมดค่ะ ดิฉันขอบอกว่ายิ่งให้ยิ่งได้อ.เจน เคยพูดเสมอว่า การให้บุญเปรียบเสมือนเรามีคบเพลิงอยู่ในมือหนึ่งอันแล้วนำไปจุดให้กับคบเพลิงที่ยังไม่มีไฟจุดต่อๆกันไปจนกลายเป็นเปลวเพลิงจำนวนมหาศาลนั่นแหละค่ะ